PLE เผยต้นทุนพุ่งฉุดมาร์จิ้นทำกำไรหด/เป้าสิ้นปีคง backlog 2-3 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 9, 2008 13:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง(PLE)คาดปี 51 กำไรสุทธิจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 149.9 ล้านบาท จากมาร์จิ้นที่ต่ำลงกว่าปีก่อนราว 1-2% เป็นผลจากต้นทุนราคาวัสดุที่ปรับตัวขึ้นมาก ขณะที่รายได้ยังน่าจะเป็นไปตามเป้า 1 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นจาก 8 พันล้านบาทในปีก่อน เนื่องจากมีงานในมือ(backlog)ที่มีอยู่ 2-3 หมื่นล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ไปถึงปี 52 ซึ่งน่าจะทำให้รายได้ปีหน้าโตมากกว่าปีนี้ 
"ปีนี้มาร์จิ้นเรากระทบมากจากต้นทุนที่สูงขึ้น ราคาเหล็กเพิ่มขึ้นไปเยอะ เคยตั้งมาร์จิ้นปีนี้ไว้ว่าจะได้ 13-14% แต่ตอนนี้ก็คิดว่าอาจหายไป 1-2% มาร์จิ้นคงต่ำกว่าปีที่แล้ว ก็เป็นไปได้กำไรสุทธิน้อยกว่าปีที่แล้ว ตอนแรกคาดหวังว่าปีนี้จะสูงขึ้นแต่คงจะลำบากเพราะของขึ้นราคามาก"นายเสวก ศรีสุชาต ประธานกรรมการ PLE กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ ในปี 50 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin)ที่ 11%
นายเสวก ตั้งเป้าหมายว่า ในปี 51 บริษัทจะมีงานใหม่เพิ่มเข้ามาอีกไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาททั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โดยประมาณการว่าจะได้งานในประเทศและต่างประเทศเท่า ๆ กันที่ราว 6-7 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกได้งานใหม่ในประเทศแล้วประมาณ 5 พันล้านบาท คาดว่าสิ้นปีจะมีงานในมือคงค้างประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท
ขณะที่งานต่างประเทศครึ่งปีแรกยังไม่มีเข้ามา แต่ก็มีงานที่รับไว้แล้วที่ตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นงานที่มีมาร์จิ้นดีกว่าในประเทศ โดยอยู่ระดับประมาณ 15-16% ขณะที่งานในประเทศมีมาร์จิ้นประมาณ 13%
*ถอยรับงานโครงการรัฐ ปัญหามาก-ได้เงินน้อย
นายเสวก มองว่า แนวโน้มครึ่งหลังของปีนี้ งานใหม่จะมีออกมาเปิดประมูลน้อยลง โดยเฉพาะงานราชการที่มีผลต่อเนื่องจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ
ส่วนโครงการเมกะโปรเจ็คต์เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบจากเสถียรภาพรัฐบาลที่สั่นคลอนจนไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ในปีนี้ หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งอาจจะนำไปสู่การยุบพรรคฯ หรืออาจมีการชิงยุบสภาก่อน
นายเสวก กล่าวว่า แม้ว่าบริษัทจะไม่สนใจงานราชการมากนัก เพราะได้ราคาไม่ดีและการแข่งขันสูง แต่ก็ยังไม่ทิ้ง โครงการรถไฟฟ้า แต่อาจรอเข้าประมูลโครงการถัดไป ไม่จำเป็นต้องรีบ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าซื้อแบบประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญาที่ 3 มูลค่างาน 6 พันล้านบาท โดยร่วมทุนกับอีก 2 บริษัท และบริษัทถือหุ้น 30%
"เราไม่เน้นงานราชการ เพราะมีปัญหาเยอะแยะ ราคาก็ไม่ดี เราเริ่มให้ความสำคัญน้อยลงกับงานราชการมาเป็นปี ๆ แล้ว เพราะงานใหม่ที่ประมูลมีการแข่งขันสูง"นายเสวก กล่าว
สำหรับสัดส่วนงานภาครัฐในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งขณะนี้บริษัทเหลืองานราชการงานเดียว คือโครงการบ้านเอื้ออาทรที่จะจบในปีหน้า โดยปีนี้จะรับรู้รายได้ประมาณ 2-3 พันล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ