โบรกเกอร์ต่างแนะนำ"ซื้อ" หุ้น บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) เพราะคาดว่าจะปรับค่าผ่านทางด่วนแน่ตามสัญญา อีก 5 บาท และราคาหุ้นก็ปรับลงมาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีแล้ว มี upside gain สูง รวมทั้งยังมองว่าเป็นหุ้นปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดว่าครึ่งปีแรกนี้จะจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.50 บาท แม้ปริมาณการใช้รถบนทางด่วนในปีนี้คาดว่าจะลดลงมากถึง 4.0-5.5% ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำมันแพงและการเปิดใช้ถนนวงแหวนใต้ ฉุดรายได้และกำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้ แต่ปีหน้าเชื่อว่าจะฟื้นตัว
ราคาหุ้น BECL ปิดเที่ยง ที่ 15.60 บาท บวก 0.30 บาท (+1.96%) ปรับขึ้นไปสูงสุด 16.20 บาท สวนทางดัชนีตลาดหุ้นไทยปิด ลบ 2.21% ที่ 701.19 จุด
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
บล.ซิกโก้ ซื้อ 25.50
บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 24.00
บล.ฟิลลิป ซื้อ 22.30
บล.กิมเอ็งฯ ซื้อ 22.20
บล.ดีบีเอสวิคเกอร์ส ซื้อ 21.30
นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) มองว่า BECL น่าจะได้ปรับค่าผ่านทางด่วนอีก 5 บาท เป็น 45 บาท ซึ่งจะมีผล 1 ก.ย.นี้ แต่เชื่อว่าหลังปรับขึ้นค่าผ่านทาง ปริมาณจราจรบนทางด่วนจะลดลง เพราะประชาชนจะกลับมาลดค่าใช้จ่ายลง จึงคาดว่าทั้งปีปริมาณการใช้ทางด่วนจะลดลง 4% จากปีก่อน ซึ่งรวมถึงผลกระทบจากน้ำมันแพงและการเปิดใช้ถนนวงแหวนใต้
ดังนั้น คาดว่าทั้งปีรายได้ของ BECL จะปรับตัวลดลง โดยประเมินอยู่ที่ 7,066 ล้านบาท ต่ำลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่มี 7,238 ล้านบาท และกำไรสุทธิก็ลดลง คาดว่าจะอยู่ที่ 1,292 ล้านบาท ต่ำลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,407 ล้านบาท รวมทั้งปีนี้บริษัทยังคงเสียค่าธรรมเนียมจ่ายหนี้คืนก่อนครบชำระคืน 150 ล้านบาท
แต่เชื่อว่าปีหน้ารายได้และกำไรสุทธิของบริษัทจะฟื้นตัว ประกอบกับราคาหุ้นปัจจุบันลงมาต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี (BV)แล้วที่ 22 บาท เป็นระดับที่น่าสนใจ
"ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครคาดว่า(ค่าผ่านทางด่วน)จะขึ้นได้มากกว่า 5 บาท ราคาเป้าหมายเรารวมการปรับขึ้นค่าทางด่วนแล้ว แนะนำเข้าซื้อได้ มองว่า Traffic Volume จะค่อยๆฟื้นตัว และได้ปรับค่าผ่านทางเต็มปีในปีหน้า ปีหน้าเขาก็จะดีขึ้น" นักวิเคราะห์ กล่าว
ด้าน บล.ยูไนเต็ด ระบุ ปริมาณการใช้ทางด่วนที่ลดลงอย่างมากในช่วงเดือน มิ.ย.คาดว่ามีผลกระทบจากการเปิดวงแหวนใต้ รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้รถยนต์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไป คือกลับมาใช้ทางปกติมากขึ้นแทนการใช้ทางด่วนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย หรือแม้กระทั่งการใช้ระบบขนส่งมวลชนแทนการขับรถส่วนตัว
ครึ่งปีแรกปริมาณการใช้ทางด่วนหดตัวมากกว่าที่เราคาดไว้ที่ -3% และมองว่าราคาน้ำมันที่ยังคงสูงต่อเนื่องยังจะทำให้ปริมาณการใช้ทางด่วนในครึ่งปีหลังหดตัวต่อเนื่อง ดังนั้น เราจึงปรับประมาณการณ์การใช้ทางด่วนในปีนี้ใหม่เป็นลดลง 5.5% และปรับประมาณการณ์กำไรปีนี้ใหม่โดยลดลงเป็น 1,387 ล้านบาท(EPS 1.80 บาท/หุ้น)
"เราปรับลดราคาปัจจัยพื้นฐานปีนี้ลงเป็น 24.00 บาท ซึ่งจากราคาที่ลดลงมากทำให้ยังมี Upside ถึง 53% รวมทั้ง ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PBV เพียง 0.72 เท่า ดังนั้นเราจึงยังคงแนะนำ ซื้อลงทุน”บมวิเคราะห์ระบุ
ส่วน บล.ฟิลลิป ปรับลดคาดการณ์ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนให้ลดลง 5.5% จากเดิมคาดลดลง 3% จากแรงกดดันจากราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนมิ.ย.มีตัวเลขปริมาณรถชะลอตัวมาก และทำให้ปริมาณรถในครึ่งปีแรกลดลง 4.28% สูงกว่าที่คาดเฉลี่ยทั้งปี 3%
ทำให้รายได้ลดลงเป็น 7,180.71 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,591.02 ล้านบาท ลดลงจากคาดการณ์เดิม 8.26% โดยยังคาดว่าจะได้ปรับขึ้นค่าทางด่วนหลังมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งคาดจะได้ข้อสรุปในเดือน ส.ค.นี้ และมองผลกระทบที่เกิดขึ้นน่าจะกินเวลาไม่นานนัก หลังจากผู้ใช้ทางด่วน สามารถปรับตัว ได้และทิศทางของราคาน้ำมันไม่น่าจะปรับตัวขึ้นรุนแรงเช่นในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าปริมาณการจราจรเติบโต 2% ต่อปีในระยะยาว และคาดจะมีปันผลจ่ายที่ 0.50 บาทต่อหุ้นสำหรับครึ่งปีแรก จึงยังแนะนำ"ซื้อ”
ทั้งนี้ ปริมาณการใช้ทางด่วนในเดือนมิ.ย.ปรับตัวลดลง 8.3% จากปีก่อนในเดือนเดียวกัน(YoY)มาที่ 865,500 คัน/วัน และมีรายได้เฉลี่ยที่ 16.79 ล้านบาท/วัน ลดลง 9.29%YoY ส่งผลให้ไตรมาส 2 บริษัทมีปริมาณการใช้ทางด่วนเฉลี่ยที่ 853,480 คัน/วัน ลดลง 5.9%YoY และรายได้เฉลี่ยที่ลดลงมาที่ 16.6 ล้านบาท/วัน ลดลง 6.8%YoY สำหรับปริมาณการใช้ทางด่วนในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 881,090 คัน/วัน ลดลง 4.74%YoY และมีรายได้ที่ 17.11 ล้านบาท/วัน ลดลง 5.68%YoY
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--