ผู้ถือหุ้นใหญ่ KCเผยโอนหุ้นให้ลูก,เปิดทางรายใหม่ถือหุ้น-รุกคอนโดฯปลายปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 16, 2008 16:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

         ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้(KC)รับเองโอนหุ้น 17% ทั้งหมดที่มีอยู่ให้ลูกชาย"พงศ์ภพ งามอัจฉริยะกุล" แต่โครงสร้างกลุ่มตระกูล"งามอัจฉริยะกุล"ยังถือหุ้นรายใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันก็มีหลายรายสนใจเข้ามาเป็นพันธมิตร เปิดทางหวังให้เข้ามาช่วยขยายธุรกิจ พร้อมมีแผนรุกโครงการคอนโดมิเนียม คาดเริ่มปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า จากปีนี้ไม่มีแผนออกโครงการใหม่ 
คาดยอดขายทั้งปี 51 ทำได้ตามเป้าที่วางไว้ 2 พันล้านบาท หลังครึ่งปีแรกมียอดขายแล้วกว่า 900 ล้านบาท และคาดในไตรมาส 2/51 ประกาศผลประกอบการออกมาดีกว่าไตรมาส 1/51 พร้อมเตรียมปรับราคาขึ้นอีกรอบ 2-3% ในไตรมาส 4/51 จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8-10%
นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้(KC)และในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ถึงกรณีที่มีวอลุ่มเทรดหุ้น KC ออกมามากผิดปกติทั้งที่ราคาหุ้นไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวว่า เป็นผลจากที่ตนได้ทำการโอนหุ้นให้กับนายพงศ์ภพ งามอัจฉริยะกุล ซึ่งเป็นลูกชาย ทั้งจำนวน 149.40 ล้านหุ้นหรือ 17.07% ของหุ้นทั้งหมด
เนื่องจาก ตัวเขาเองอยากจะเกษียนตัวเอง เพราะอายุ 60 ปีซึ่งถือว่ามากแล้ว โดยโครงสร้างการถือหุ้นยังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด กลุ่มงามอัจฉริยะกุลยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุด และขณะนี้ยังไม่ได้มีการขายหุ้น KC ให้แก่พันธมิตรใหม่ตามที่มีกระแสข่าวลือกัน
วันนี้(16 ก.ค.)หุ้น KC เปิดเทรดที่ 0.81 บาท ราคาไม่มีเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งช่วงบ่ายราคาก็ไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อวันที่ 15 ก.ค.51 หุ้น KC ปิดที่ 0.81 บาท ราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 4.19 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 14 ก.ค.51 หุ้น KC ปิดที่ 0.81 บาท ราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 0.96 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 11 ก.ค.51 หุ้น KC ปิดที่ 0.81 บาท ราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 4.43 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 10 ก.ค.51 หุ้น KC ปิดที่ 0.81 บาท ราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 2.45 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 9 ก.ค.51 หุ้น KC ปิดที่ 0.81 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 บาท (+1.25%)มูลค่าซื้อขาย 4.660 ล้านบาท
โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ KC 5 อันดับแรก ล่าสุดเมื่อ 21 เม.ย.51 ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล ถือหุ้น 149,397,740 หุ้นหรือคิดเป็น 17.07%,นายชาย งามอัจฉริยะกุล ถือหุ้น 103,059,915 หุ้นหรือคิดเป็น 11.78%, นายสมศักดิ์ งามอัจฉริยะกุล ถือหุ้น 63,904,620 หุ้นหรือคิดเป็น 7.30%, น.ส.ขวัญจิตร์ อุดมสุขนิรันดร ถือหุ้น 40,441,440 หุ้นหรือคิดเป็น 4.62% และ COUTTS BANK VON ERNST LTD, SINGAPORE BRANCH ถือหุ้น 35,000,000 หุ้นหรือคิดเป็น 4.00%
*ยังเปิดทางสำหรับพันธมิตรใหม่/มีแผนทำคอนโดฯ
นายสมชัย วนาวิทย รองกรรมการผู้จัดการ KC เปิดเผย"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทฯยังคงเปิดทางสำหรับพันธมิตรใหม่ที่จะเข้ามาช่วยกันขยายธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น โดยช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯก็ได้เจรจากับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่สนใจ แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากยังติดประเด็นเรื่องของราคาที่ยังไม่ลงตัว
"บริษัทฯยังคงมีเปิดให้มีการเจรจากันพันธมิตร ที่ผ่านมาก็มีคนมาคุยด้วยหลายราย แต่ยังไม่ได้สรุป เพราะติดเรื่องของราคา ส่วนที่มาคุยแรก ๆ ก็มีต่างประเทศ มาช่วงหลัง ๆ ก็มีในประเทศมาด้วย เราต้องการ partner เพื่อที่จะทำให้บริษัทฯมีการขยายตัวทางธุรกิจ เพราะเราค่อนข้างจะ conservative ถ้าได้ partner ที่ aggressive ก็จะดี" นายสมชัยกล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวเสริมว่า บริษัทฯกำลังศึกษาแผนการพัฒนาโครงการคอนโดมีเนียม คาดว่าจะเห็นผลได้ในช่วงปลายปี51-ต้นปี 52 ซึ่งบริษัทฯได้ตกลงในการซื้อที่ดินแล้วย่านพระราม 9 พื้นที่ 3 ไร่กว่ามูลค่า 400 ล้านบาท โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขแบบเล็กน้อยและก็จะยื่นขออนุญาตด้านสิ่งแวดล้อมด้วย
"ในปีนี้เรายังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบแต่ในโครงการคอนโดมีเนียมจะเป็นทางเลือกใหม่ของบริษัทที่พิจารณาอยู่และเห็นได้ในช่วงปลายปีนี้-ต้นปีหน้า"กรรมการผู้จัดการ KC กล่าว
*คาดงบฯ Q2/51 ดีกว่า Q1/51 จากยอดขายเพิ่มขึ้น
รองกรรมการผู้จัดการ KC กล่าวว่า ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/51 คาดว่าจะออกมาดีกว่างวดไตรมาส 1/51 เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาส 2/51 ส่วนทั้งปี 51 คาดว่าจะทำยอดขายได้ตามเป้าที่ 2,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่มียอดขายราว 1,500 ล้านบาท เนื่องจากครึ่งแรกปีนี้บริษัทฯสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 900 ล้านบาท
"ในปีนี้(51)คาดว่าผลประกอบการของบริษัทฯน่าจะดีขึ้นจากปีก่อน(50)ที่คอนโดมิเนียมมาแย่งตลาดฯไปเยอะ แต่ปีที่ผ่านมา(50)ได้ออกมา 2 โครงการ และจะมารับรู้ในปีนี้"รองกรรมการผู้จัดการ KC กล่าว
อย่างไรก็ดี ในปีนี้(2551)บริษัทฯยังไม่มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีทั้งหมด 22 โครงการ เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างสูง และตลาดโดยรวมก็ยังไม่ดีขึ้น แต่บริษัทฯยังสามารถสร้างรายได้จากยอดขายของโครงการที่มีอยู่ให้มีการเติบโตขึ้นได้
ส่วนนายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่าต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมานั้นจะเป็นปัญหากดดันผลประกอบการงวดไตรมาส 2/51 และเชื่อว่าทุกบริษัทฯต่างก็รับผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งขึ้นอยู่ว่าบริษัทใดจะสามารถบริหารต้นทุนได้ดีกว่ากันเท่านั้น
โดยปัญหาต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8-10% นั้นบริษัทได้ปรับด้วยการบริหารต้นทุนและปรับแผนในการพัฒนาโครงการใหม่ด้วย โดยภายใต้โครงการหนึ่งจะปลูกบ้านเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่เหลือเฉลี่ย 15-20% จากเดิม 50% และหันมาเพิ่มบ้านขนาดเล็กมากขึ้น 80% จากเดิม 40-50% แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทำเลด้วยเพราะบางทำเลบ้านขนาดใหญ่ก็ขายดี ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์คงไม่ปรับเปลี่ยนเพราะขนาดที่มีขายจะหลากหลายตั้งแต่ 80 ตารางเมตร-135 ตารางเมตร
*เล็งปรับขึ้นราคาขายอีก 2-3% ในช่วง Q4/51
กรรมการผู้จัดการ KC กล่าวอีกว่า ในช่วงต้นเดือนก.ค.ที่ได้มีการปรับราคาขายบ้านไปแล้วเฉลี่ย 2% แต่ยังไม่สามารถชดเชยต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 8-10% แม้จะมีมาตราการภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจมาช่วยก็ตาม ทำให้บริษัทคงจะทยอยปรับเพิ่มราคาขายอีก 2-3 % ในช่วงไตรมาส 4/51 เพื่อชดเชยต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น
"ผมคิดว่าปีนี้ปัญหาหนักสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตอนนี้อยู่ที่ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเราก็ได้รับผลกระทบนั้นด้วยแต่ในการปรับราคาขายคงจะเป็นการทยอยปรับเพราะหากปรับทีเดียวก็จะยิ่งฉุดกำลังซื้อ และหากการเมืองไม่นิ่งก็จะบั่นทอนไปเรื่อยๆ"กรรมการผู้จัดการ KC กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ