ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (17 ก.ค.) ซึ่งเป็นการทะยานขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงกว่า 5 ดอลลาร์ และรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ อาทิ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 207.38 จุด หรือ 1.85% ปิดที่ 11,446.66 ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 14.96 จุด หรือ 1.20% แตะที่ 1,260.32 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 27.45 จุด หรือ 1.20% แตะที่ 2,312.30 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 7.17 พันล้านหุ้น เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับวันพุธที่ 6.58 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วนเกือบ 3 ต่อ 1
เควิน ดอร์วิน นักวิเคราะห์จากบริษัทบิงจ์แฮม ออสบอร์น แอนด์ สคาร์โบโรจ์ ในเมืองซานฟรานซิสโก กล่าวว่า "บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กคึกคึกขึ้นทันทีเมื่อราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลง 5.31 ดอลลาร์ แตะที่ระดับ 129.29 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งดิ่งลงไปมากกว่า 15 ดอลลาร์ในช่วง 3 วันทำการ"
"นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดวอลล์สตรีท ได้แก่ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ และโคคา-โคลา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากิจการของบริษัทเหล่านี้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแด" ดอร์วินกล่าว
ขณะที่ เดนนิส อมาโต นักวิเคราะห์จากบริษัทแองโกรา แอดไวเซอร์ส ในเมืองคลีฟแลนด์กล่าวว่า "ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงอย่างหนักและผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทรายใหญ่ช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคการเงินและข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะ stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น"
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2548 โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันเบนซินที่พุ่งขึ้น และเป็นการปรับตัวขึ้นสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.7%
เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐเมื่อวานนี้ว่า "ภารกิจสำคัญลำดับแรกของเฟดก็คือการดึงเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ในระดับที่สามารถยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม เฟดกำลังพิจารณาใช้มาตรการรับมือกับสภาวการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น โดยหนึ่งในปัญหาที่เฟดกังวลมากที่สุดคือการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น"
ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกนพุ่งขึ้น 13.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ลดลง 53% เนื่องจากขาดทุนในตลาดปล่อยกู้จำนอง แต่ตัวเลขดังกล่าวยังดีกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้
หุ้นแฟนนี เม ดีดตัวขึ้น 18% หุ้นเฟรดดี แมค พุ่งขึ้น 22% หลังจากฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตให้กับบริษัททั้งสอง ส่วนหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ พุ่งขึ้น 5.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 2 พุ่งขึ้น 11%
อย่างไรก็ตาม หุ้นโคคา-โคลา ร่วงลง 3.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ลดลง 23% แต่ตัวเลขดังกล่าวนับว่าดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--