ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐ หลังจากซิตี้กรุ๊ปเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด อย่างไรก็ตาม ตลาดเคลื่อนตัวผันผวนและช่วงบวกได้ถูกสกัดลง หลังจากบริษัทกูเกิล อิงค์ เปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 49.91 จุด หรือ 0.44% แตะระดับ 11,496.57 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดีดตัวขึ้น 0.36 หรือ 0.03% ปิดที่ 1,260.68 จุด แต่ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 29.52 จุด หรือ 1.28% ปิดที่ 2,282.78 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 5.49 พันล้านหุ้น ลดลงจากวันพฤหัสบดีที่ 7.17 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 8 ต่อ 7
ซิตี้กรุ๊ป เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสองขาดทุน 2.5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 54 เซนต์ต่อหุ้น และมีการปลดพนักงานเพิ่มขึ้นอีก 6,000 ตำแหน่งในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งจะทำให้จำนวนพนักงานทั้งหมดที่ถูกเลออฟในปี 2551 รวมเป็น 11,000 ตำแหน่ง เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนักจากยอดการผิดนัดชำระเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ตัวเลขขาดทุนของซิตี้กรุ๊ปยังดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าบริษัทจะขาดทุนถึง 66 เซนต์ต่อหุ้น
ฟิลิป ดาวน์ นักวิเคระห์จากบริษัทอาร์บีซี เดน รอสเชอร์ กล่าวว่า "ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของซิตี้กรุ๊ปช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องปัญหาในภาคการเงิน ก่อนหน้านี้ตลาดได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของเจพีมอร์แกนและธนาคารเวลส์ ฟาร์โก"
วาณิชธนกิจ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ลดลง 53% เนื่องจากขาดทุนในตลาดปล่อยกู้เพื่อการจำนอง แต่ตัวเลขดังกล่าวนับว่าดีกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 2 ของเจพีมอร์แกนมีอยู่ทั้งสิ้น 2 พันล้านดอลลาร์ หรือ 54 เซนต์/หุ้น ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ระดับ 4.23 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.20 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่กำไรลดลง 3% แตะระดับ 1.84 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรจะลดลงแตะระดับ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม เจพีมอร์แกนยังคงได้รับแรงกดดันจากวิกฤตการณ์สินเชื่อและตลาดปล่อยกู้จำนองเหมือนกับวาณิชธนกิจและธนาคารพาณิชย์รายอื่นๆ โดยนายเจมี ไดมอน ซีอีโอเจพีมอร์แกนกล่าวว่า "ปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐยังคงมีอยู่ และเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มตลาดปล่อยกู้จำนองจะฟื้นตัวขึ้นได้หรือไม่ในปีนี้ แต่เจพีมอร์แกนคาดว่า ตัวเลขขาดทุนในภาคการเงินจะทรุดตัวลงรุนแรงถึง 3 เท่า"
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากรายงานของบริษัทกูเกิล อิงค์ที่ระบุว่า กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 35 % แต่ยังเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ โดยรายได้สุทธิช่วงไตรมาส 2 ของกูเกิลพุ่งขึ้นสู่ระดับ 1.25 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.92 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากไตรมาสสองของปีที่แล้วที่ 925 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.93 ดอลลาร์ต่อหุ้น ทั้งนี้ ถ้าหากไม่นับรวมค่าใช้จ่ายด้านค่าตอบแทนในรูปหุ้น รายได้สุทธิของกูเกิลอยู่ที่ 4.63 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ ในย่านวอลล์สตรีทที่ 4.72 ดอลลาร์
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากวาณิชธนกิจเมอร์ริล ลินช์ ที่เปิดเผยตัวเลขขาดทุนไตรมาส 2 มูลค่า 4.89 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการ์ไว้ เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อ ส่งผลให้เมอร์ริล ลินช์ขาดทุนติดต่อกัน 4 ไตรมาส และทำให้บริษัทต้องปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ เมอร์ริล ลินช์ ขาดทุนไตรมาส 2 ทั้งสิ้น 4.97 ดอลลาร์/หุ้น เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่บริษัทสามารถทำกำไรได้ถึง 2.01 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.24 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นกูเกิลร่วงลง 9.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด ขณะที่หุ้นไมโครซอฟท์ร่วงลง 6% และหุ้นเอเอ็มดี ดิ่งลง 12.3%
ส่วนหุ้นในกลุ่มการเงินปรับตัวผันผวน โดยหุ้นเมอร์ริล ลินช์พุ่งขึ้น 18 เซนต์ ปิดที่ 30.91 ดอลลาร์ หุ้นซิตี้กรุ๊ปเพิ่มขึ้น 7.7%
หุ้นฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วงลง 20 เซนต์ ปิดที่ 50.66 ดอลลาร์ หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด และหุ้นแมทเทล ดีดขึ้น 13% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--