นักวิเคราะห์คาดทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์กสัปดาห์นี้ขึ้นกับข้อมูลศก.สหรัฐ,ราคาน้ำมัน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 21, 2008 06:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า แม้ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กเคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่แนวโน้มของตลาดหุ้นนิวยอร์กในสัปดาห์นี้จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆของสหรัฐ อาทิ ยอดขายบ้านมือสองและยอดขายบ้านใหม่ประจำเดือนมิ.ย. โดยมีกระแสคาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวจะปรับตัวลดลงเนื่องจากภาวะซบเซาในตลาดที่อยู่อาศัยและวิกฤตการณ์ด้านสินเชื่อในสหรัฐ
บ็อบ อังเดร์ส นักวิเคราะห์จากบริษัทเอนเวสท์เน็ทกล่าวว่า "เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และซิตี้กรุ๊ป และราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่เราคาดว่าตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงถูกปกคลุมด้วยความกังวลเรื่องวิกฤตการณ์ด้านสินเชื่อ นับตั้งแต่มีข่าวว่าแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ซึ่งเป็นหน่วยงานซึ่งรัฐบาลสหรัฐให้การสนับสนุน (GSE) และมีหน้าที่จัดหาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ซื้อบ้านนั้น ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก"
"ราคาบ้านที่ทรุดตัวลงทำให้ผู้บริโภคมองว่าสินทรัพย์ที่พวกเขาถือครองอยู่มีมูลค่าลดลงและไม่กล้าที่จะนำเงินออกมาจับจ่ายใช้สอยมากนัก ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็จะยิ่งฉุดรั้งให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยเร็วขึ้น" อังเดร์สกล่าว
ผลสำรวจราคาบ้านในสหรัฐจากทุกสำนักต่างออกมาในทางเดียวกันว่า ราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐทรุดตัวลงอย่างหนักในเดือนเม.ย.และยังไม่มีทีท่าว่าจะกระเตื้องขึ้นในช่วงปีนี้ โดยดัชนี S&P/Case-Shiller และ ดัชนีของ Office of Federal Housing Enterprise Oversight ระบุว่า ราคาบ้านในเดือนเม.ย.ร่วงลงหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่เพียงแต่ย่ำแย่เท่านั้น แต่ยังฉุดรั้งให้ตลาดอื่นๆทรุดตัวลงตามไปด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นนิวยอร์กขานรับข่าวที่ว่า กำไรไตรมาส 2 ของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ลดลง 3% แตะระดับ 1.84 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ตัวเลขดังกล่าวดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรจะลดลงแตะระดับ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ซิตี้กรุ๊ป เปิดเผยว่าตัวเลขขาดทุนไตรมาส 2 อยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 54 เซนต์ต่อหุ้น แต่ตัวเลขดังกล่าวยังดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขาดทุนถึง 66 เซนต์ต่อหุ้น
ส่วนในสัปดาห์นี้ คาดว่านักลงทุนจะจับตาดูทิศทางราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด รวมถึงผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทและธนาคารรายใหญ่ อาทิ แบงค์ ออฟ อเมริกา, อเมริกัน เอ็กซ์เพรส, เมิร์ก แอนด์ โค, คาร์เตอร์พิลลาร์, ยาฮู, โบอิ้ง, แมคโดนัลด์ และ 3M สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงาน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ