(เพิ่มเติม) BAY คาดสรุปผลขาย NPL ราว 1 หมื่นลบ.ภายใน Q3/51 ตามแผน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 21, 2008 15:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) คาดว่า ธนาคารจะได้ข้อสรุปผลการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) อีกราว 1 หมื่นล้านบาทในปลายไตรมาส 3/51 ซึ่งจะทำให้ NPL ของธนาคารลดลงต่ำกว่า 5.8 หมื่นล้านบาท หรือ NPL Net อยู่ที่ 5-5.5% จากปัจจุบันธนาคารมี NPL Gross อยู่ที่ 11.1%  NPL Net อยู่ที่ 7.1%
ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีแรกธนาคารขาย NPL ไปแล้วประมาณ 6 พันล้านบาท
นายตัน กล่าวว่า ครึ่งปีหลังสินเชื่อของธนาคารน่าจะเติบโตได้อีก 2.8 หมื่นล้านบาท ทั้งรายใหญ่ รายย่อยและ SMEs ซึ่งจะทำให้ยอดสินเชื่อของธนาคารเป็นไปตามเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 1.4 แสนล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกก็เติบโตได้ตามคาด
ขณะที่ธนาคารคาดว่าส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ(net interest margin)จะอยู่ที่ 4.2% ภายในสิ้นปี 51 จากในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3.86% โดยธนาคารจะเน้นการเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อย โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนสูงกว่า SME และภาคธุรกิจ ประมาณ 2 เท่า พร้อมขยายสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์จาก 36% เป็น 40% ภายในสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการขยายตัวของสินเชื่อในครึ่งปีหลังน่าจะชะลอลง และธนาคารจะต้องระมัดระวังรอบคอบในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพสินเชื่อมากกว่าเรื่องอื่น
นายตัน คาดว่าในปีนี้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศน่าจะอยู่ที่ 4.5-5.2% มาจากท่องเที่ยวและบริการ ขณะที่การส่งออกขยายตัว 17-19% การนำเข้าขยายตัว 26-29% อัตราเงินเฟ้อ 7.5-8% ขณะที่ปัญหาความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ราคาอาหารและราคาน้ำมัน รวมทั้งการเมืองไทย ทำให้อุปสงค์ภายในประเทศชะลอลงตามความมั่นใจผู้บริโภคและการลงทุนที่ลดลง และราคาน้ำมันอาจกระทบต่อการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด
"ปัญหาเศรษฐกิจของไทยไม่ต่างจากปัญหาประเทศอื่นๆทั่วโลก" นายตัน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 0.25% เพราะเงินเฟ้อยังสูงอยู่ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ แม้ว่าจะมีมาตรการการคลังเข้ามาช่วยแม้ว่าจะใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล
นายตัน ยืนยันว่า ธนาคารจะถือการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศประเภท CDO จนครบอายุเพื่อรับเงินลงทุนคืนพร้อมผลตอบแทน โดยขณะนี้ธนาคารได้ลงทุนในตราสาร CDO 4 รุ่น คิดเป็นมูลค่าราว 85 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 0.4% ของสินทรัพย์รวมของธนาคาร ขณะที่มีผลตอบแทนที่ LIBOR +1.56%
“การเติบโตของผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องทั้งในไตรมาส 2 และงวดครึ่งปีแรกเป็นกำลังใจให้ธนาคารมุ่งมั่นที่จะทำงานตามแผนงานที่วางไว้ต่อไป ซึ่งความคืบหน้าเหล่านี้เป็นผลจากการที่ธนาคารได้ลงทุนเพิ่มความแข็งแกร่งโครงสร้างพื้นฐานในปี 50 ทำให้ธนาคารมีโครงสร้างสินเชื่อที่ดีขึ้น และมีระบบงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงมั่นใจว่าระบบงานที่ธนาคารได้วางไว้จะช่วยให้ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตต่อไปได้ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 51 ที่ยากขึ้น” นายตัน คอง คูน กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ