บล.ไซรัส แนะนำลงทุนหุ้น BEC PTTEP TSTH TTW TVO ในช่วงเงินเฟ้อ โดยคาดตัวเลขเงินเฟ้อจะพีคสุดที่ 13% ในเดือนส.ค. พร้อมแนะระวังช่วงก.ค.-ก.ย.ที่ถือเป็น 3 เดือนอันตรายของการลงทุน เพราะมีคดีทางการเมือง แต่มองว่ากำไรบจ.ปีนี้ น่าจะยังเติบโตได้ 13.8% ดีกว่าภูมิภาค
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวในงานสัมมนา หัวข้อ"'หุ้นเด็ด..สยบเงินเฟ้อ'"ว่า หุ้นที่สามารถสยบเงินเฟ้อได้ ได้แก่ หุ้น BEC PTTEP TSTH TTW TVO
สำหรับ BEC แม้ธุรกิจโฆษณาจะได้รับความเสี่ยงเรื่องอัตราเงินเฟ้อ แต่สื่อทีวีจะเป็นสื่อที่มีความเสี่ยงต่อกว่าสื่อประเภทอื่น ขณะที่ราคาหุ้นของ BEC ก็ปรับลดลงมา ทำให้ PER ลดลงเป็น 19.4 เท่า ต่ำกว่าในอดีตที่ซื้อขาย 22-23 เท่า และในไตรมาส 2 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของ BEC กำไรจะเพิ่มขึ้น 17% หลังจากที่ทยอยปรับค่าโฆษณา โดยเฉพาะค่าโฆษณาหลังข่าวขึ้นอีก 7%
ส่วนหุ้น PTTEP ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ค่าบาทอ่อน และ มองว่ากำไรปี 51 จะโตถึง 51% จากปริมาณการขายที่เเพิ่มขึ้น และจากการที่ปริมาณก๊าซสำรองของแหล่ง M9 ที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาซื้อขายก๊าซภายในปลายปีนี้และเริ่มผลิตในปี 55
หุ้น TSTH จะได้รับผลประโยชน์จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาเหล็กปรับขึ้นได้อีกต่อเนื่องถึงปีหน้า ขณะที่มองว่าราคาเหล็กในระยะนี้คงไม่เปลี่ยนแปลงมากหลังจากที่จีนสั่งปิดชั่วคราวโรงงานเหล็ก 66 โรงงานในปักกิ่ง เพื่อควบคุมมลภาวะช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค และความต้องการใช้เหล็กในประเทศที่เกิดใหม่ยังมีสูง ทำให้ TSTH ได้เปรียบเมื่อเทียบกับรายอื่น
หุ้น TTW ถือว่าเป็นบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อโดยตรง เพราะในสัญญาการซื้อขายน้ำประปา ระบุให้สามารถปรับราคาขายได้ทุกๆ ต้นปี ตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจุดนี้จะทำให้การเติบโตของบริษัทโตสูงกว่าการเติบโตของเงินเฟ้อ อีกทั้งปริมาณการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากการทยอยปิดบ่อบาดาลทั้งในการอุปโภคบริโภคจากภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ TTW ยังมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง โดยบล.ไซรัส คาดว่า ผลประกอบการครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกเพราะการขยายปริมาณการรับซื้อน้ำขั้นต่ำของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จาก 2.5 แสนล้านลบ.ม.เป็น 3 แสนลบ.ม.ทำให้ยอดขายที่เคยได้ส่วนลด 55% สำหรับปริมาณการขายส่วนที่เกินกลับมาสร้างรายได้เพิ่มขึ้น และคาดว่ากำไรในปี 51 จะเติบโต 43.2% จากการเพิ่มกำลังการผลิต และการปรับราคาขาย
ส่วน TVO ได้รับผลดีจากราคาถั่วเหลืองที่แนวโน้มขาขึ้น โดยคาดว่าจะสูงไปถึงสิ้นปี ทำให้กำไรจะโตก้าวกระโดดถึง 51.4% แม้ว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การที่ PER เพียง 8.8 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจเดียวกันในเอเชียที่ซื้อขายที่ 14-15 เท่า และยังมีอัตราผลตอบแทน 7-8% ถือว่าเป็นหุ้นที่น่าสนใจ
ด้านนางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า ปีนี้แม้จะมีปัญหาเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นและดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจ แต่ยังมองว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้น่าจะยังเติบโตได้ 13.8% โดยเฉพาะกลุ่มสื่อสารที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มธนาคาร ที่มีการตั้งสำรองมาก และสินเชื่อในครึ่งปีแรกเติบโตได้ดี
ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นในเดือนส.ค. และเป็นตัวเลขที่พีคที่สุด คือ 13% สูงสุดเมื่อเทียบกับเดือนมิ.ย.ที่อยู่ที่ 8.9% และเดือนก.ค.ที่ 10%
"การเติบโตของกำไรบจ.ดังกล่าว ถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงเมื่อเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมา และยังดีกว่ากำไรเฉลี่ยในแถบเอเชีย ที่จะอยู่ที่ 10-11%" นางสาวจิตรา กล่าว
สำหรับการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาตินั้น คาดว่า นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการขายหุ้นที่ระดับดัชนี SET 650 จุด เนื่องจากที่ผ่านมาถือว่ามีแรงเทขายออกมามากแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้การขายของต่างชาติจะเห็นเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นโอกาสในการสะสมหุ้นพื้นฐานดี แม้ว่าปัญหาการเมืองในขณะนี้ยังไม่จบสิ้น โดยมองว่าอาจจะต้องเผชิญกับเรื่องการเมืองในช่วง 3 เดือนอันตราย คือ ช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. โดยถือเป็นช่วงอันตรายของการลงทุนเพราะมีคดีทางการเมืองหลายคดี
ทั้งนี้ ในส่วนบล.ไซรัสเอง มองว่าทางออกที่ดีของรัฐบาลชุดนี้ คือ ควรมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นการแก้ป้ญหาแต่เป็นทางออกที่ดีที่สุด
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--