โบรกเกอร์หนุน"ซื้อ"หุ้นบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น(DTAC) คาดปี 51 กำไรเติบโตดีกว่าปีก่อนมากราว 44-51% โดดเด่นที่สุดในกลุ่มสือสาร และเป็นปีแรกที่เสียภาษีนิติบุคคลลดลงเหลือ 25% จากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ยิ่งมีบริการ 3G ก็ยิ่งเป็นปัจจัยบวกกับธุรกิจสื่อสาร ซึ่งบริษัทคาดว่าปีหน้าคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.)จะเปิดให้ใบอนุญาต 3G อย่างเป็นทางการ
ประกอบกับราคาหุ้นในกระดานปรับตัวลงมาก ทำให้มี upside gain มากกว่า 20% ยิ่งทำให้น่าลงทุน แม้ว่าผู้บริหารบริษัทจะปรับลดประมาณการรายได้ลดเหลือประมาณ 5% จากเดิมตั้งไว้ 5-10%
ราคา DTAC วานนี้ (22 ก.ค.)ปรับลง 2.75 บาท(-5.70%) มาอยู่ที่ 45.50 บาท จากเมื่อ 18 ก.ค. ลงมาต่ำสุดที่ 44 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดในรอบ 4 เดือน
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
บล.เอเซียพลัส ซื้อ 60.91
บล.โกลเบล็ก ซื้อ 58.00
บล.ซิมิโก้ ซื้อ 58.00
บล.กิมเอ็งฯ ซื้อ 55.75
บล.ฟินันซ่า ซื้อ 55.50
บล.ฟิลลิป ซื้อ 55.00
บล.สินเอเซีย ซื้อ 54.35
นักวิเคราะห์ จากบล.ฟินันซ่า มองว่าหุ้น DTAC น่าลงทุน เพราะคาดว่าปี 51 จะมีกำไรปกติ 8.8 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 51% จากปีก่อน จากปีนี้ที่จะพลิกมามีกำไรจากค่าเชื่อมโยงโครงข่าย(IC)และจ่ายภาษีนิติบุคคลจ่ายลดลงจาก 30% เหลือ 25% หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 2/50
"ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ตัว bottom line (กำไรสุทธิ) จะโต 40-50% จากปีก่อนในช่วงเดียวกัน ก็จะทำให้ปีนี้สูงมาก ซึ่งเราประมารการไว้ทั้งปีกำไรจะเติบโต 51% จากปีก่อน" นักวิเคราะห์กล่าว
ในปีนี้ Blended ARPU ลดลง -8.4% จากไตรมาสก่อน เหลือ 240 บาท โดยปรับลดในอัตราที่ชะลอลง และคาดว่าปีนี้ยอดผู้ใช้โทรศัพท์มือถือใกล้อิ่มตัว อยู่ที่ 95% ของประชากร โดยโครงสร้างลูกค้าของ DTAC ส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด
"ที่น่าลงทุนเพราะเห็นกำไรดีขึ้น และเรามองกลุ่มสื่อสารได้รับผลกระทบเรื่องเงินเฟ้อน้อยกว่ากลุ่มอื่น และที่สำคัญ 3G บนความถี่ 2100 MHz มองระยะยาวต้นทุนจะลดลงเยอะถ้ามาจ่าย 7% ผ่านไลเซ่นส์ ถ้า 3G เกิดก็ยิ่งน่าสนใจ"นักวิเคราะห์กล่าว
ทั้งนี้ บล.ฟินันซ่า มองราคาเป้าหมาย DTAC ในปี 52 ที่ราคา 55.50 บาท ปรับขึ้นจากปี 51 ที่ราคาเป้าหมาย 52 บาท และเปลี่ยนคำแนะนำจากขายมาเป็นซื้อ
ขณะที่นักวิเคราะห์จาก บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) มองว่าครึ่งปีหลังผลประกอบการ DTAC อาจจะอ่อนตัวลงจากผลกระทบจากเงินเฟ้อ โดยในไตรมาส 2/51 มีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/51
แต่กำไรโดยรวมจะดีกว่าปีที่แล้ว และปีนี้เป็นปีแรกที่ได้รับประโยชน์จาการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้จ่ายภาษีนิติบุคคลเหลือ 25% โดยคาดว่าปี 51 จะมีกำไรสุทธิ 8,170 ล้านบาท และเมื่อรวมกำไรที่ได้จาก DPC สุทธิ 1,850 ล้านบาท ก็จะทำให้มีกำไรสุทธิ 10,020 ล้านบาท
"กำไรปีนี้ดีขึ้นอยู่แล้ว แต่ครึ่งปีหลังอาจจะดูแล้ว soft กว่า ซึ่งเป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อด้วย แต่เราก็ยังแนะนำ BUY อยู่แล้ว" นักวิเตราะห์ กล่าว
นอกจากนี้ หากลงทุนวันนี้ จะได้ upside gain ประมาณ 20% โดยราคาขณะนี้เคลื่อนไหวอยู่ที่ 45.50 บาท
ด้านบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ปรับลดคาดกำไรทั้งปีของ DTAC ลง 3% เป็นเติบโต 44% หรือมีกำไรสุทธิ 8.46 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีกำไรปกติ 4.5 พันล้านบาทเทียบเท่า 53% ของการคาดทั้งปี หลังจากที่ผู้บริหาร DTAC ได้ลดการคาดการเติบโตของรายได้ค่าบริการไม่รวม IC ในปีนี้จาก 5-10% มาเป็นแถวๆ 5% เนื่องมาจากความกังวลผลกระทบเงินเฟ้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอลง รวมถึงรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย(ARPU)ของระบบจดทะเบียนที่อ่อนแอลง จึงปรับลดสมมติฐานรายได้ค่าบริการรวมในปีนี้ลง 5% เป็น 6.86 หมื่นล้านบาท
"แม้เราจะประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น DTAC ลดลงจาก 56.25 บาทเป็น 55.75 บาทก็ตาม แต่การที่ราคาหุ้น DTAC ได้ปรับตัวลงแล้ว 15% ในช่วงเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมาทำให้ราคามีความน่าสนใจมากขึ้น อีกทั้งกำไรยังคงมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นในปีนี้ ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก ทยอยสะสม เป็น ซื้อ"บทวิเคราะห์ระบุ
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า DTAC รายงานกำไรจากการดำเนินงานปกติในงวด Q2/51 เท่ากับ 2.1 พันล้านบาท ลดลง 12%qoq เพราะผลของฤดูกาล แต่เติบโตถึง 57% yoy ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยคาด โดยเป็นที่สังเกตว่าแม้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น 20% yoy จาก 14.5 ล้านราย เป็น 17.4 ล้านราย แต่เนื่องจากลูกค้าใหม่โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้บริการในระบบเติมเงินที่มีรายได้เฉลี่ย/เลขหมาย/เดือน (ARPU) ต่ำ จึงฉุดให้ ARPU โดยเฉลี่ยลดลง 18% yoy และส่งผลให้รายได้ค่าบริการ (ไม่รวม IC) เพิ่มขึ้นเพียง 5% yoy
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลักที่ช่วยผลักดันให้กำไรปกติเติบโตได้ในอัตราสูง มาจากการที่บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่าย IC ได้ด้วยการออกแผนการตลาดที่กระตุ้นการใช้งานภายในเครือข่าย โดยลดปริมาณการโทร.ออกไปต่างเครือข่ายลงได้ ทำให้ในงวด Q2/51 บริษัทมีสถานะเป็นผู้รับค่า IC สุทธิ (net receive) 204 ล้านบาท พลิกจากงวด Q2/50 ที่เป็นผู้จ่ายค่า IC สุทธิสูงถึง 1.2 พันล้านบาท
พร้อมคาดปี 51 จะเติบโตโดดเด่นสุดในกลุ่ม จากฐานลูกค้าที่เติบโตต่อเนื่อง และการออกแผนการตลาดที่มีประสิทธิภาพด้วยการปรับค่าบริการสำหรับการโทร.ต่างเครือข่ายเพิ่มขึ้น ภายหลังแผนการตลาดแบบบุฟเฟ่ต์ที่คิดค่าบริการในอัตราต่ำได้สิ้นสุดลง ซึ่งช่วยให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่าย IC ได้ โดยพลิกสถานะจากการเป็นผู้จ่ายมาเป็นกลายมาเป็นผู้รับค่า IC สุทธิได้
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--