ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 ก.ค.) หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงอีกเกือบ 4 ดอลลาร์และรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทหลายแห่งช่วยให้นักลงทุนในตลาดวอลล์สตรีทคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 29.88 จุด หรือ 0.26% แตะระดับ 11,632.38 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 5.11 จุด หรือ 0.40% แตะระดับ 1,282.11 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 21.92 จุด หรือ 0.95% แตะระดับ 2,325.88 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.7 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 5 ต่อ 3 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.69 พันล้านหุ้น
นอร์แมน อาลี นักวิเคราะห์จากบริษัทเอ็มเอฟซี โกลบอล อินเวสท์เมนท์ เมเนจเมนท์ กล่าวว่า "นักลงทุนคาดว่าราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้น โดยเมื่อคืนนี้ ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลง 3.98 ดอลลาร์ แตะที่ระดับ 124.44 ดอลลาร์ หลังจากมีรายงานว่าสต็อกน้ำมันเบนซินประจำสัปดาห์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทเอทีแอนด์ที แมคโดนัล และไฟเซอร์"
หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้น หลังประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ยุติการขู่ที่จะใช้สิทธิยับยั้งร่างกฏหมายช่วยเหลือตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งเปิดทางให้กับมาตรการต่างๆที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นต้นตอของการขาดทุนจำนวนมากสำหรับบริษัทด้านการเงิน ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นแฟนนี เมและเฟรดดี แมค ซึ่งเป็นบริษัทปล่อยกู้ซื้อบ้านชั้นนำ 2 แห่งของสหรัฐ ซึ่งจะได้รับเงินช่วยเหลือฉุกเฉินจากรัฐบาลภายใต้กฏหมายดังกล่าว
การร่วงลงของราคาน้ำมันช่วยหนุนหุ้นสายการบิน โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ส ดีดขึ้น 89 เซนต์ หรือ 12% ปิดที่ 8.60 ดอลลาร์ และหุ้นคอนติเนนตัล แอร์ไลน์ส ร่วงลง 1.54 ดอลลาร์ หรือ 12% ปิดที่ 14.80 ดอลลาร์ แต่กลับฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง โดยหุ้นเอ็กซอนโมบิล ดิ่งลง 2.3% และหุ้นเชฟรอน ร่วงลง 3.5%
หุ้นเอทีแอนด์ที พุ่งขึ้น 3.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสพุ่งขึ้นเนื่องจากธุรกิจไร้สายที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่หุ้นไฟเซอร์ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของโลก ทะยานขึ้น 3.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการพุ่งขึ้นเป็นสองเท่าเนื่องจากแผนปรับโครงสร้างองค์กร
ส่วนหุ้นแมคโดนัลร่วงลง 46 เซนต์ ปิดที่ 59.66 ดอลลาร์ แม้บริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสองที่แข็งแกร่ง หุ้นโบอิ้งร่วงลง 3.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสองร่วงลง 19%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้น้ำหนักกับรายงานสำรวจสภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 ภูมิภาคของสหรัฐที่บ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจในแต่ละภูมิภาคชะลอตัวลงเนื่องจากตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคปรับตัวลดลง
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--