"ทริส"คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ TUF ที่ระดับ “A+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 24, 2008 08:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" 
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในฐานะผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ระดับโลก การมีสินค้าและฐานลูกค้าที่หลากหลาย และความแข็งแกร่งของเครื่องหมายการค้าปลาทูน่ากระป๋อง “Chicken of the Sea"
นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงผลงานของคณะผู้บริหารที่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมส่งออกอาหารทะเล และนโยบายในการขยายกิจการที่รอบคอบของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางประการจากความอิ่มตัวของอุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องในประเทศสหรัฐอเมริกา ความผันผวนที่ค่อนข้างสูงของราคาปลาทูน่า และการแข่งขันของผู้ประกอบการจากประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า รวมทั้งมาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศคู่ค้ารายสำคัญ ความผันผวนของค่าเงินบาท และความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการบริโภค
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความแข็งแกร่งในการแข่งขันเอาไว้ได้จากการประหยัดจากขนาดและความมีประสิทธิภาพในการผลิต รวมทั้งจะขยายธุรกิจด้วยความระมัดระวัง และลดภาระหนี้ได้ภายในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า
ทริสเรทติ้ง รายงานว่า บริษัทไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ เป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็งรายใหญ่ของประเทศไทย โดยมียอดขายในปี 2550 อยู่ที่ 55,507 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2551 บริษัทมีกำลังการผลิตปลาทูน่ากระป๋องอยู่ที่ 309,000 ตันต่อปี ส่งผลทำให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้แปรรูปปลาทูน่าชั้นนำระดับสากล ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของบริษัทได้รับผลประโยชน์จากการขยายธุรกิจสู่งานด้านบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายกระจายสินค้า นอกจากนี้ บริษัทยังมีสินค้าที่หลากหลาย โดยในปี 2550 ปลาทูน่ากระป๋องสร้างรายได้ให้บริษัทมากที่สุดประมาณ 47% ของยอดขายทั้งหมด ตามด้วยกุ้งแช่แข็ง 20% อาหารทะเลกระป๋อง 9% และอาหารสัตว์กระป๋อง 8% ตลาดส่งออกหลักของบริษัทประกอบด้วยประเทศสหรัฐอเมริกา (55%) ญี่ปุ่น (12%) และสหภาพยุโรป (9%) คณะผู้บริหารของบริษัทเป็นผู้มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมอาหารทะเลมานานกว่าสองทศวรรษ ในขณะที่บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าปลาทูน่ากระป๋อง “Chicken of the Sea" ซึ่งจำหน่ายมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประเทศสหรัฐฯ การซื้อลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้า “Chicken of the Sea" เต็ม 100% ในปี 2544 ช่วยเสริมให้ฐานะบริษัทเข้มแข็งขึ้นและส่งผลให้รายได้ของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นถึงเกือบเท่าตัว ความแข็งแกร่งในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวยังส่งผลให้บริษัทสร้างฐานลูกค้าเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้งสินค้าคุณภาพสูงและสินค้าอาหารทะเลมูลค่าเพิ่ม (Value-added Product)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของบริษัทจะเติบโตอย่างค่อนข้างมั่นคง แต่ปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ และมาตรการทางการค้าของประเทศคู่ค้ายังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อผลประกอบการของบริษัท ผลกระทบรุนแรงที่สุดที่บริษัทได้รับจากอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งคาดว่าจะอยู่ในวงจำกัดเนื่องจากปริมาณกุ้งที่บริษัทส่งออกไปยังประเทศสหรัฐฯ มีเพียงประมาณ 7% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท
บริษัทมีฐานะทางการเงินที่อ่อนแอลง ราคาปลาทูน่าที่สูงเป็นประวัติการณ์สร้างแรงกดดันอย่างมากต่อสัดส่วนรายได้ต่อยอดขายและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด ในไตรมาสแรกของปี 2551 บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายอยู่ที่ 3.4% ลดลงจาก 5.9% ในปี 2550 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ เดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ 45.4% เทียบกับ 49.2% ในปี 2550 และ 39.9% ในปี 2549 สถานะสภาพคล่องยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ถึงแม้ว่าจะลดลงเล็กน้อย
อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2551 อยู่ที่ 4.5 เท่า ลดลงจาก 6.3 เท่าในปี 2550 ทริสเรทติ้งคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะยังคงได้รับแรงกดดันต่อเนื่องต่อไปอีกในระยะปานกลางจากราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น และความผันผวนของค่าเงินบาท สัดส่วนกำไรของบริษัทอยู่ในจุดที่บริษัทจะสามารถเพิ่มภาระหนี้ได้อีกไม่มากนัก มิฉะนั้นก็อาจจะส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ