(เพิ่มเติม) SCC ระบุต้นุทนพุ่งกดดันมาร์จิ้นต่ออีก1-2 ปี/กำหนดนโยบายปันผลชัด 40-50%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 23, 2008 16:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.ปฺููนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า เครือซิเมนนต์ไทยในปี 51 ยังเผชิญต้นทุนพลังงานและราคาวัตถุดิบยังอยู่ในระดับสูง จะกดดันให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลง และคาดว่าจะยังกดดันต่อเนื่องไปอีกในระยะ 1-2 ปีนี้ 
"ที่เราเห็นชัดเจน คือ มาร์จิ้นปรับตัวลดลงจากปีก่อน หลังจากที่ต้นทุนพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ราคาขายไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ทัน และในระยะ 1-2 ปีนี้ก็จะคงจะกดดันรายได้รวมของปูนฯไม่โดดเด่นเหมือนเมื่อช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่เราหวังว่า ปี 2010 (2553) จะกลับมาดีอีกครั้ง หลังโครงการลงทุนเริ่มแล้วเสร็จทั้งโครงการปิโตรเคมี และที่ไม่ใช่โครงการปิโตรเคมี"นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC กล่าวในการแถลงข่าว
นายกานต์ ประเมินว่า ราคาน้ำมันจะคงอยู่ในะดับสูงต่อไป แม้ระยะที่ผ่านมาได้ปรับตัวลดลงมาบ้างแล้ว ซึ่งกลุ่ม SCC เห็นว่าราคาน้ำมันควรจะปรับลงมาอยู่ระดับ 100-110 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศก็คงอยู่ในระดับสูง ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ปรับขึ้นร้อยละ 0.25 ทำให้ต้นทุนการเงินของบริษัทขยับขึ้นแต่ไม่มาก โดยเฉลี่ย 5-5.1% ถือว่ายังรับได้
ในครึ่งปีแรกจีดีพีของประเทศอยู่ในระดับ 5.5-5.6% โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจาภาคการส่งออก ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าจีพีดีจะอยู่ระดับ 5% โดยปัจจัยการเมืองกระทบกับความเชื่อมั่นของประชาชน หากการเมืองนิ่งกว่านี้จะช่วยภาพรวมภาวะเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นด้านการลงทุน
"เชื่อว่าจีดีพีครึ่งปีหลังจะชะลอตัว ทั้งปี ระดับจีดีพีได้ที่ 5%ต้นๆก็เก่งแล้ว ปัญหาการเมืองถ้านิ่งกว่าก็จะดี เพราะส่งผลต่ออุตสาหกรรม" นายกานต์ กล่าว
*คาดความต้องการปูนฯในปท.ปีนี้ลดลง 2-3%
ส่วนยอดขายปูนซิเมนต์ นายกานต์ คาดว่า ในปีนี้ความต้องการปูนซิเมนต์ในประเทศจะติดลบ 2-3% จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 0-5% เนื่องจากไม่มีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ตามที่คาดหวัง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และปัจจัยการเมืองที่ยังไม่นิ่ง จะเห็นได้จากอัตราการใช้ปูน ใน่ช่วงครึ่งปีแรกไม่มีการเติบโตเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทำให้บริษัทยังต้องแก้ปัญหาด้วยการผลักดันการส่งออกปูนฯ ไปยังแถบประเทศ ศรีลังกา อินเดีย และบังคลาเทศ ซึ่งขายในราคา 119-121 เหรียญ/ตัน สูงกว่าราคาในประเทศที่อยู่ในระดับ 81 เหรียญ/ตัน ดังนั้น คาดว่าในปี 51 บริษัทจะมียอดส่งออกปูน จำนวน 8 ล้านตัน ใกล้เคียงกับปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดส่งออกยังมีจำกัด
ขณะที่ตลาดในประะเทศมีการแข่งขันรุนแรง ทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ และแม้รัฐจะมีมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำม้นดีเซลและเบนซินเพื่อช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน แต่บริษัท ไม่ค่อยได้นับประโยช์มากนัก เพราะบริษัทใช้น้ำมันดีเซลไม่มาก ส่วนใหญ่ เชื้อเพลิงที่ใช้ ได้แก่ น้ำมันเตา ถ่านหิน และ นาฟทา
*เดินหน้าลงทุนปิโตรเคมีในเวียดนามตามแผนแม้เงินเฟ้อพุ่งพรวด
นายกานต์ กล่าวว่า โรงงานปิโตรเคมีที่เวียดนาม แม้ว่าจะได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลแต่ยังต้องเจรจาเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี และรายละเอียดการลงทุนกับรัฐบาลเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนทั้งหมดภายในปลายปี 51
สำหรับเงินลงทุน 1.5 แสนล้านบาท ในช่วงปี 50-56 แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีกว่า 6 หมื่นล้านบาท และธุรกิจนอกเหนือ ปิโตรเคมีเป็นเงินกว่า 5 หมื่นล้านบาท ยังคงเดินหน้า แม้จะมีปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว และภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะโครงการที่เวียดนาม ที่จะทำโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 56 ตามที่คาดการณ์ไว้
*กำหนดนโยบายจ่ายปันผล 40-50% ของกำไรสุทธิช่วยสร้างความชัดเจน
นายกานต์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทยังได้กำหนดนโยบายการจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งแรกในอัตราร้อยละ 40-50 ของกำไรสุทธิ จากเดิมที่ไม่เคยกำหนดอัตราที่ชัดเจนมาก่อน เนื่องจากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาธุรกิจในเครืออยู่ในขาขึ้นในทุกกลุ่ม และมีการจ่ายเงินป้นผลสูงถึงหุ้นละ 15 บาทต่อหุ้น ทำให้นักลงทุนคาดหวังการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงตลอดมา ดังนั้น บริษัทจึงเห็๋นว่าควรมีการกำหนดนโยบายจ่ายเงินป้นผลที่ชัดเจนเพื่อให้สอดคล้องกับกำไรสุทธิของบริษัท
ครึ่งแรกของปี 51 คณะกรรมการบริษัทมีมติจ่ายเงินปันผล 5.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นร้อยละ 46 ของกำไรสุทธิ และในครึ่งปีหลัง บริษัทก็จะจ่ายเงินปันผลที่หาจ่ายจริง ในอัตราร้อยละ 40-50 ของกำไรสุทธิ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ