นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์(MILL)เปิดเผยว่า MILL ติดอยู่ในรายชื่อหลักทรัพย์สำรอง สำหรับดัชนี SET100 ในช่วง 6 เดือนหลังปี 2551
สำหรับดัชนี SET100 นั้นสะท้อนว่า MILL เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมหรือ Market Capitalization สูง มีสภาพคล่องในการซื้อขายอย่างสม่ำเสมอ และมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย(Free-float)ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ซึ่งหมายถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ MILL จึงทำให้ตัดสินใจเข้ามาถือหุ้น
“เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับ MILL แม้ว่าจะอยู่รายชื่อหลักทรัพย์สำรอง สำหรับดัชนี SET100 ก็ตาม เพราะหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มีมากกว่า 300 หลักทรัพย์ นั่นสะท้อนให้เห็นว่า MILL ก็มีดีเหมือนกันทั้งในด้านมาร์เก็ตแค็ป สภาพคล่อง และจำนวนนักลงทุนที่ให้ความมั่นใจเข้ามาถือหุ้นจำนวนมาก ดังนั้นจึงถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลบวกกับบริษัทอย่างมาก เนื่องจากทำให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหุ้นของเรามากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของกองทุนในประเทศที่มีการลงทุนในลักษณะตามดัชนีก็จะกระจายการลงทุนมาที่หุ้น MILL มากขึ้น ขณะเดียวกันนักลงทุนทั่วๆ ไปก็จะให้ความสนใจในตัวบริษัทมากขึ้นด้วยเช่นกัน"นายสิทธิชัย กล่าว
ทั้งนี้ การคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณดัชนี SET100 ตลาดหลักทรัพย์จะพิจารณาจากหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเฉลี่ยต่อวันย้อนหลัง 12 เดือนสูงสุด 200 อันดับแรก และนำหลักทรัพย์ดังกล่าวมาพิจารณาคุณสมบัติ ซึ่งประกอบด้วยการเป็นหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 6 เดือนและเป็นหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสม่ำเสมอ โดยพิจารณาจากสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายบนกระดานหลักเทียบกับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อหุ้นของหุ้นสามัญทั้งตลาดในเดือนเดียวกัน รวมทั้ง การพิจารณาหลักเกณฑ์อื่นๆ ตามที่กำหนด โดยใช้ข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2550 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2551
นอกจากนี้ยังได้พิจารณาคุณสมบัติตามเกณฑ์อื่น ๆ ประกอบ ได้แก่ การมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย(Free-float) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และต้องไม่เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายถูกเพิกถอนตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ ในเวลาอันใกล้ รวมทั้ง ไม่อยู่ในระหว่างการห้ามซื้อขายเป็นเวลานาน หรือไม่เป็นหลักทรัพย์ที่มีแนวโน้มที่จะถูกห้ามการซื้อขายเป็นเวลานานอีกด้วย
นายสิทธิชัย กล่าวต่อถึงแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปีนี้ว่าได้ประเมินแนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กยังเป็นขาขึ้นต่อ และราคายังทรงตัวในระดับสูง ซึ่งถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดโลก สำหรับตลาดในประเทศคาดว่าความต้องการใช้เหล็กในปีนี้น่าจะเติบโตได้ถึง 10-15 % จากปีก่อนที่ความต้องการใช้เหล็กเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 13-14 ล้านตัน
"ปีนี้ MILL วางแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเป็น 900,000 ตันต่อปี จากเดิม 500,000 ตันต่อปี โดยได้ บริษัท บีอาร์พี สตีล จำกัด (เดิมคือ บริษัท เหล็กบูรพาอุตสาหกรรม จำกัด) เข้ามาหนุนและมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น อีกทั้งที่ผ่านมาราคาเหล็กได้มีการปรับเพิ่มขึ้นสูงและยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก ตามต้นทุนวัตถุดิบเหล็กและความต้องการใช้เหล็กในตลาด ทำให้ MILL ปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มเป็น 8,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท และเมื่อคำนวณรวมรายได้ที่มาจาก บีอาร์พี สตีล คาดว่าจะทำให้รายได้รวมของ MILL ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาทได้" นายสิทธิชัย กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--