โบรกเกอร์ต่างแนะนำเก็บหุ้น บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์(QH) แม้ส่วนใหญ่จะปรับลดราคาเป้าหมายจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่
ประเมินกำไรในไตรมาส 2/51 ออกมาเติบโตก้าวกระโดด 48-66% จากปีก่อนในงวดเดียวกัน (yoy) และทั้งปีน่าจะยังโตได้ดี จากการที่ยอดขายแรงต่อเนื่องหลังบริษัทเปิดตัวโครงการรองรับลูกค้ากลุ่มระดับกลางเพิ่มขึ้น ประกอบกับมียอดโอนที่ค้างมาจากไตรมาสที่แล้ว
ประเมินว่าทั้งปี 51 กำไรสุทธิจะเติบโตดีราว 40% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.06 พันล้านบาท จะเพิ่มเป็น 1.4-1.5 พันล้านบาท จากผลดีมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และแนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะมียอดขายดีกว่าครึ่งปีแรก จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ปรับขึ้นมาก อัตราเงินเฟ้อคาดว่าชะลอลงจากครึ่งปีแรกหลังรัฐบาลอุ้มราคาน้ำมันไว้ ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดไปมากถึงระดับที่น่าลงทุน
ราคาหุ้น QH เช้านี้เคลื่อนไหวที่ระดับ 1.74 บาท(10.51 น.)ลดลง 0.03 บาท ซึ่งเมื่อ 18 ก.ค.ทีผ่านนมา ราคาลงไปต่ำสุดที่ 1.50 บาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
บล.โกลเบล็ก ซื้อ 3.20
บล.กิมเอ็งฯ ซื้อ 2.82
บล.ฟิลลิป ซื้อ 2.80
บล.ฟินันซ่า ซื้อ 2.56
บล.นครหลวงไทย ซื้อ 2.48
นายสุรศักดิ์ อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) คาด QH มียอดขายไตรมาส 2 ยังแข็งแกร่งอยู่ โดยทำยอดพรีเซล 2,450 ล้านบาท ทำให้คาดว่ากำไรในไตรมาส 2/51 มี 404 ล้านบาท โตขึ้น 66% yoy และ 32% qoq และทั้งปี คาดว่าจะมีกำไรอยู่ที่ 1,414 ล้านบาท หรือ 0.17 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายโต 15% เป็น 10,500 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมียอดขาย 4,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเปิดโครงการใหม่ไป 7 โครงการ คิดว่าครึ่งปีหลังยอดขายน่าจะดีกว่า ซึ่งจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่ม และเชื่อว่าในไตรมาส 4 จะเป็นไตรมาสที่มียอดขายดีมาก
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่เริ่มลดลง รวมทั้งความกังวลเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็น่าจะลดลงไปด้วย ทำให้มี sentiment ดี และช่วยทำให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในการใช้จ่าย และกลับมาซื้อบ้าน
"สาเหตุที่ยังน่าลงทุนเพราะคิวเฮ้าส์ยังมียอดขายที่ดี และเขาหันมาทำบ้านระดับกลางซึ่งขายดีด้วย มีหลายระดับราคา ตั้งแต่ 3 ล้านจนถึง 7-8 ล้านในแบรนด์ คาซ่าวิลล์ ถือว่าเขามีสินค้าที่รองรับความต้องการลูกค้าหลายระดับราคา ทำให้รายได้ดีขึ้น มาร์จิ้นก็ดีขึ้น"นายสุรศักดิ์ กล่าว
รวมทั้ง ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่จะรับรู้รายได้ในปี 52-53 ก็ช่วยทำให้กำไรในปีหน้าจนถึงปี 53 ก็จะเติบโตด้วย
อย่างไรก็ตาม ปรับลดประมาณการกำไรลดลง 9% มาอยู่ที่ 1,414 ล้านบาทเพราะว่าปีนี้มีค่าใช้จ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นจากโครงการเดิมประมาณ 20 โครงการที่บริษัทต้องซ่อมแซมก่อนที่จะโอนเข้านิติบุคคลของแต่ละโครงการ รวมเป็นเงินประมาณ 200 ล้านบาท
ส่วนปัจจัยลบเรื่องเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ปรับลดราคาที่เหมาะสมเหลือ 2.82 บาท แต่ยังแนะนำซื้อ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้นตอบรับปัจจัยลยพอสมควรแล้ว
นักวิเคราะห์ จาก บล.ฟินันซ่า คาดว่ารายได้ในไตรมาส 2 เติบโต 17% qoq และเติบโต 9% yoy มาอยู่ที่ 2,760 ล้านบาท บางส่วนได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่รอโอนจากไตรมาสที่แล้ว และกำไรสุทธิคาดไว้ที่ 389 ล้านบาท เติบโต 27 qoq และเติบโต 60% yoy
และบ้านของ QH เป็นบ้านเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ยังไม่ค่อยได้รับผลกระทบภาวะเศรษฐกิจ ยิ่งหากมองว่าปีหน้าราคาบ้านแพงขึ้นประมาณ 5-7% ดังนั้น ก็จะรีบซื้อบ้านก่อน โดยกลุ่มลูกค้าบริษัทเป็นบ้านราคาระดับ 7 ล้านบาท ประกอบกับได้ประโยชน์มาตรการภาษีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้
ดังนั้น ทั้งปี 51 มองกำไรอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท เติบโต 40% จากปีที่แล้ว อัตราผลตอบแทนเงินปันผลคาดมีประมาณ 5% โดยคาดว่าปีนี้จะจ่ายเงินปันผล 0.08 บาท/หุ้น สูงกว่าปีก่อน 0.07 บาท/หุ้น
"ปีนี้แนวโน้มเติบโต และปีหน้าก็จะเติบโตต่อเนื่อง ก็ยังคิดว่าน่าลงทุนอยู่"นักวิเคราะห์ กล่าว
ส่วนการที่บริษัทยังไม่สามารถเสนอขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ได้ ก็ไม่ได้ผลกระทบแผนการดำเนินงานเพราะบริษัทยังมีสภาพคล่องที่ดีอยู่ และบริษัทก็สามารถเปลี่ยนมาออกหุ้นกู้แทนได้
ด้าน บล.โกลเบล็ก ยังคงคำแนะนำ"ซื้อ"ที่ระดับราคาเป้าหมายเดิม ต่างกับบริษัทหลักทรัพย์อื่นที่มีการปรับลดเป้าหมายเพราะสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนหลังจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอไม่เอื้ออำนวย
เหตุผลสนับสนุน เพราะคาด Q2/51 จะมีกำไรราว 381 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 57%yoy และ 22%qoq จากการคาดยอดขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในช่วง Q2/51 เติบโตดีโดยได้แรงหนุนจากมาตรการภาษีและการเปิดขายโครงการใหม่ 4 โครงการแบรนด์ลัดดารมย์และคาซ่าวิลล์ในทำเลราชพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ และวัชรพลมูลค่าราว 8 พันล้านบาท ทั้งนี้ คาดกำไรในช่วง Q2/51 ราว 381 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 57%yoy และ 22%qoq
เราคงคาดยอดขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ราว 10,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน และคาดยอดขายรวมปี 51 ราว 11,825 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีที่แล้ว โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาษีและความต้องการบ้านเดี่ยวในตลาดบนที่เริ่มฟื้นตัวแต่มีซัพพลายลดลงหลังจากคู่แข่งหันไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ดี ได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลง 5% เป็นประมาณ 1,638 ล้านบาทเติบโต 54% จากปีก่อน เนื่องจากการเร่งขายปิดโครงการทำให้มีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงทรัพย์สินส่วนกลางเพื่อส่งมอบเป็นจำนวนมาก
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--