ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (29 ก.ค.) เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงกว่า 2.5 ดอลลาร์และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคการเงินของสหรัฐ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 266.48 จุด หรือ 2.39% แตะระดับ 11,397.56 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 28.82 จุด หรือ 2.33% แตะระดับ 1,263.19 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดเพิ่มขึ้น 55.40 จุด หรือ 2.45% แตะระดับ 2,319.62 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.40 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.31 พันล้านหุ้น
ริชาร์ด คลิปส์ นักวิเคราะห์จากบริษัทสเตเฟล นิโคลาส์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ที่ร่วงลง 2.54 ดอลลาร์ แตะระดับ 122.19 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องหลังจากทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 147 ดอลลาร์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากรายงานของคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.พุ่งขึ้นแตะระดับ 51.9 จุด จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 51 จุด
"ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สดใสขึ้นในเดือนก.ค.สะท้อนให้เห็นว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมโดยรวมของสหรัฐ ฟื้นตัวขึ้นด้วย" คลิปส์กล่าว
หุ้นกลุ่มการเงินได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐจะเพิ่มมาตรการฉุกเฉินในการห้ามทำช็อตเซลหุ้น 19 บริษัทซึ่งรวม ถึงแฟนนี เม เฟรดดี แมค ซิตี้กรุ๊ป โกลด์แมน แซคส์ และเมอร์ริล ลินช์
หุ้นเมอร์ริล ลินช์ พุ่งขึ้นเกือบ 8% หลังจากบริษัทยอมรับว่าจะต้องปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ในบัญชีลง 5.7 พันล้านดอลลาร์และเพิ่มทุน 8.5 พันล้านดอลลาร์ด้วยการขายหุ้นใหม่ นอกจากนี้ มีรายงานว่า บริษัท เทมาเส็ค โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นกองทุนบริหารความมั่งคั่ง (SWF) ของสิงคโปร์ ได้เข้าซื้อหุ้นมูลค่า 900 ล้านดอลลาร์ในเมอร์ริล ลินช์
เมอร์ริล ลินช์ ระบุว่า บริษัทเตรียมขายหลักทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันบางส่วน และยกเลิกธุรกิจเฮดจ์ฟันด์ที่เกี่ยวข้องกับการออกตราสารหนี้ ซึ่งธุรกิจทั้งสองส่วนนี้ได้รับผลกระทบหนักสุดจากวิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อเมื่อปีที่แล้ว
ในช่วงไตรมาสสองที่ผ่านมา เมอร์ริล ลินช์ ขาดทุน 4.89 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อ ส่งผลให้เมอร์ริล ลินช์ขาดทุนติดต่อกัน 4 ไตรมาส และทำให้บริษัทต้องปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มการเงินนั้น หุ้นซิตี้กรุ๊ปพุ่งขึ้น 5.9% หุ้นวอชิงตัน มิวชวล ดีดขึ้น 11.7% หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ทะยานขึ้น 14.2% และหุ้นวาโชเวีย คอร์ป พุ่งขึ้น 14.5%
หุ้นกลุ่มสายการบินทะยานขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงรุนแรง โดยหุ้นเอเอ็มอาร์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของอเมริกัน แอร์ไลน์ส ดีดขึ้น 18.4% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ส พุ่งขึ้น 14.6% หุ้นสายการบินยูเอแอล พุ่งขึ้น 21.4%
หุ้นคอลเกต-ปาล์มโอลีฟ พุ่งขึ้น 8.2% หลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 พุ่งขึ้น 19% ขณะที่หุ้นยูไนเต็ด สเตทส์ สตีล ดีดขึ้น 14% ขานรับผลประกอบการไตรมาสสองที่พุ่งขึ้นถึง 2 เท่า
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--