โบรกฯชี้ตลาดหุ้นไทยเข้ายุค"หมี"ชัด/มาร์เก็ตติ้งโอดซบเซายืดเยื้อแย่แน่!

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 30, 2008 11:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          โบรกเกอร์ ระบุว่าตลาดหุ้นไทยขณะนี้กำลังเข้าสู่ภาวะ"Bearish"ชัดแจนแล้ว หลังเจอแรงเทขายต่อเนื่องและไร้คนรับซื้อ วอลุ่มเบาบาง แต่ยังมีหวังตลาดฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/51 หลังจากเห็นแนวโน้มราคาน้ำมันเริ่มปักหัวลง การเมืองเริ่มเห็นภาพชัด ขณะที่มาร์เก็ตติ้งห่วงสถานการณ์ยืดเยื้อกระทบหนักแน่ 
เมื่อวันที่ 29 ก.ค.51 มูลค่าซื้อขายของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 6,766.19 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 28 ก.ค.51 มูลค่าซื้อขายของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 8,685.42 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 25 ก.ค.51 มูลค่าซื้อขายของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 9,450.75 ล้านบาท
*ความเห็นต่อภาวะตลาดหุ้นไทยในขณะนี้
นายสาธิต วรรณศิลปิน กรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย ให้ความเห็นกับ "อินโฟเควสท์"ว่า"ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ถือว่าเป็นตลาด"Bear"อย่างชัดเจน เราเห็นภาพเลยว่ามีคนขายแต่ไม่มีคนซื้อ มันไม่เหมือนช่วงก่อนหน้าสักเดือนที่ผ่านมา วอลุ่มเทรดเป็นระดับ 15,000-16,000 ล้าน แม้ต่างชาติจะขายหุ้นออกมา Index จะลง แต่ก็ยังมีคนรับซื้อ คนยังมีความมั่นใจตลาดฯอยู่บ้าง ตอนนี้แม้กระทั่งหุ้นขึ้น จาก Sentiment ที่ขึ้น แต่ตลาดฯก็ยังอยู่ที่เดิม ผมว่ามันบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นภาวะตลาด"หมี"
"สถานการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีเป็นปกติ ผมว่าตลาดหุ้นช่วงที่มีวอลุ่มซื้อขายก็แค่ไตรมาสเดียว ที่เหลือมันก็กลาง ๆ จนถึงบาง คือช่วงต้นปีวอลุ่มเทรดของตลาดฯดีมาก ก็คิดว่ามาร์เก็ตติ้งน่าจะทำรายได้ได้พอสมควร ลูกค้าก็ทำกำไรได้ แต่ตอนนี้มันอยู่ในช่วงขาลง ผมว่าพวกเขาก็น่าจะปรับตัวได้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร"
*โบรกเกอร์มีการปรับตัวอย่างไร
"ตอนนี้บริษัทฯได้มีการกระจายรายได้ออกไปได้อีกกว่าในอดีต ในด้านห้องค้ามีสัดส่วนรายได้แค่ 50-60% เท่านั้นเอง และก็มีรายได้จาก Investment Banking ที่มีเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และก็ในแง่บริหารเงิน ก็มีดอกเบี้ยรับเข้ามาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ห้องค้าระยะสั้นอาจจะชะลอไปบ้างในระยะสั้น แต่สุดท้ายก็น่าจะเป็นรายได้หลักของเราถ้าตลาดฟื้นกลับมา"
"ตอนนี้มาร์เก็ตติ้งของบริษัทฯก็ยังทำงานเป็นปกติ ก็ช่วยประคับประคองให้ลูกค้าไม่ขาดทุน คงต้องมองตัวลูกค้าเป็นหลัก ส่วนรายได้ของมาร์เก็ตติ้งของบริษัทฯก็มีเป็นแบบผลตอบแทนตามวอลุ่มที่ทำได้(intensive)และแบบเลือกรับรายได้คงที่(Fix)บางส่วน พวกที่รับรายได้เป็น Fix ไม่น่าจะเดือดร้อนอะไร
แต่มาร์เก็ตติ้งสามารถเลือกที่จะรับรายได้ในรูปแบบไหนก็ได้ แต่การทำธุรกิจในปัจจุบันการรับรายได้แบบ Intensive ดูจะเหมาะกว่า แต่ในอนาคตก่อนที่จะมีการเปิดเสรีโบรกเกอร์ เราก็จะทำการค่อย ๆ ปรับให้เป็นการรับรายได้ในรูปแบบ Fix หมด เพราะระบบ Intensive คงจะใช้ไม่ได้ในช่วงเปิดเสรีฯ"
*สถานการณ์จะดีขึ้นเมื่อไหร่
"ผมคิดว่าไตรมาส 4/51 น่าจะดีขึ้นนะ ดูจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ลดลง และ Sentiment ทางการเมืองที่เริ่มจะผ่อนคลายลง ผมคิดว่าการปรับรัฐมนตรี และการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ 6 ข้อ มันน่าจะทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเห็นภาพที่ดีขึ้น"
*มาร์เก็ตติ้งห่วงยืดเยื้อแย่แน่
แหล่งข่าวจากมาร์เก็ตติ้งของโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง กล่าวว่า "ช่วง 2-3 วันมานี้วอลุ่มเทรดของตลาดหุ้นไทยซบเซามาก เทรดวันหนึ่งไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ มีหวังบรรดามาร์เก็ตติ้ง และโบรกเกอร์จะต้องลำบากกันทั่วหน้า ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรตลาดหลักทรัพย์จะเข้ามาดูแลช่วยเหลือบ้าง ที่ผ่านมามีแต่ออกกฏระเบียบเข้มงวด ทั้งนี้ โบรกเกอร์จะอยู่ได้วอลุ่มเทรดของทั้งระบบจะต้องมีประมาณ 15,000-20,000 ล้านบาทขึ้นไป"
*ผลกระทบจากภาวะตลาดหุ้นซบเซา
"รายได้ของมาร์เก็ตติ้งก็คือการหาวอลุ่มเทรด ซึ่งในแต่ละเดือนแม้ว่ามาร์เก็ตติ้งจะมีเงินเดือน แต่ก็ต้องหาวอลุ่มเทรดให้ cover กับเงินเดือนที่ได้รับก่อน แล้วส่วนที่เพิ่มของเงินเดือนจะเป็นส่วนของแรงจูงใจ คือผลตอบแทนตามวอลุ่มที่ทำได้(intensive)ซึ่งตลาดฯวอลุ่มเทรดน้อยเรื่อย ๆ อย่างนี้มาร์เก็ตติ้งส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพวกเด็ก ๆ เชื่อว่าทำวอลุ่มยังไม่ได้ cover เงินเดือนของตัวเองเลย แล้วถ้าไม่ได้สัก 2-3 เดือนขึ้นไปก็มีสิทธิ์ที่จะถูกลดเงินเดือนลงในอนาคต"
"ส่วนมาร์เก็ตติ้งที่เป็นระดับหัวหน้า ก็จะมีทั้งที่รับเงินเดือนเป็นแบบคงที่(Fix) และแบบเดียวกับมาร์เก็ตติ้งพวกเด็ก ๆ ที่เป็น intensive ด้วย ซึ่งคนที่รับเงินเดือน Fix ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องรายได้เมื่อภาวะตลาดฯซบเซา"มาร์เก็ตติ้ง กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ