นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์(LPN)กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะเร่งการเปิดในเฟส 2 โครงการการลุมพินี เพลส พระราม 9 -รัชดา มูลค่า 2.5 พันล้านบาท เร็วขึ้นเป็นภายในไตรมาส 3/51 หรือไตรมาส 4/51 จากแผนเดิมที่กำหนดไว้ในปลายปี 52 หลังจากการเปิดตัวโครงการเฟส 1 ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด
ทั้งนี้ บริษัทกำลังพิจารณาจะปรับขึ้นราคาขายโครงการดังกล่าวในเฟส 2 เพิ่มขึ้นประมาณ 5% หรือเป็นประมาณ 6-6.1 หมื่นบาท/ตร.ม. จากเฟสแรกที่เริ่มขายที่ราคา 5.07-5.1 หมื่นบาท/ตร.ม.และปรับราคามาอยู่ที่ 5.6-6.05 หมื่นบาท/ตร.ม.หลังขยายจำนวนห้องชุดเพิ่ม โดยปัจจุบันโครงการเฟสแรกมียอดขายแล้ว 1,820 ล้านบาท
นายโอภาส กล่าวต่อว่า จากยอดขายโครงการลุมพินี เพลส พระราม 9-รัชดาเฟสแรก ส่งผลให้ยอดขายรอการโอน(Backlog)ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาที่ 10,500 ล้านบาท แต่ backlog ดังกล่าวจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ราว 3.5 พันล้านบาท ส่วนปี 52 จะรับรู้รายได้ประมาณ 6 พันล้านบาท ส่วนยอดขายของลุมพินีเพลส พระราม 9-รัชดา จะไปรับรู้ฯ ในปี 53
ในครึ่งหลังปี 51 บริษัทยังมีแผนจะเปิดขายโครงการคอนโดทาวน์ประมาณ 3-4 โครงการ มูลค่าโครงการละ 1,500 ล้านบาท จากที่เปิดไปแล้ว 3 โครงการในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันยังเชื่อว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาโครงการ โดยรักษาอัตรากำไรขั้นต้นใกล้เคียงเป้าหมายที่ 30% แม้ว่าต้นทุนวัสดุก่อสร้างจะปรับตัวขึ้นก็ตาม
*บอร์ดนัดหารือ 7 ส.ค.ปรับแผนธุรกิจให้ทันสถานการณ์เศรษฐกิจ
นายโอภาส กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่ายอดรับรู้รายได้จะเป็นไปตามเป้า 8,000 ล้านบาท โดยคณะกรรมการบริษัทจะมีการประชุมกันในวันที่ 7 ส.ค นี้ เพื่อหารือถึงการปรับแผนธุรกิจใด้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ รวมถึงวางแผนงานในปีหน้าด้วย โดยเฉพาะการบริหารรายได้และกำไรให้มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่จะหมดลงในไตรมาส 1/52 หากไม่บริหารจะทำให้ตัวเลขในปีหน้าไม่ดีไปด้วย
รวมทั้ง การปรับตัวรับกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในเรื่องของต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น สถานการณ์เศรษฐกิจ และการเมืองส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัว ขณะที่บริษัทก็จะดำเนินงานอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะการกำหนดราคาขาย การเปิดโครงการในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภค
"การคุยกับบอร์ดในครั้งนี้ เราคงหารือเพื่อที่จะทำให้เราสามารถรักษาการเติบโตในส่วนรายได้และกำไรต่อเนื่องไปถึงปีหน้าเพราะไม่เช่นนั้นผลประกอบการที่ออกมาในช่วงไตรมาส 2 ปี 52 จะไม่ดีเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 52 หรือผลการดำเนินงานในปีนี้จากภาษีอสังหาริมทรัพย์ทำให้ก้าวกระโดด แต่หากหมดลงอาจจะทำให้ตัวเลขแตกต่างกันมาก เพราะฉะนั้นจะต้องบริหารให้ดี"นายโอภาส กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--