ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก:ดาวโจนส์ปิดร่วง51.70จุดหลังตัวเลขจ้างงานน่าผิดหวัง

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday August 2, 2008 08:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (1 ส.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขในภาคแรงงานที่อ่อนแอซึ่งชี้ให้เห็นว่าธุรกิจและแรงงานยังคงเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่โหดร้าย
นอกจากนี้ผลขาดทุนมหาศาลในไตรมาสสองของบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์อย่าง เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ป (จีเอ็ม) และราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนเข้าเทรดด้วยความระมัดระวัง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 51.70 จุด หรือ 0.45% แตะระดับ 11,326.32 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 7.07 จุด หรือ 0.56% แตะระดับ 1,260.31 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลดลง 14.59 จุด หรือ 0.63% แตะระดับ 2,310.96 จุด
จำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในสัดส่วนแคบๆ ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กค่อนข้างเบาบางที่ 4.54 พันล้านหุ้น ลดลงจากระดับ 5.16 พันล้านหุ้นในวันพฤหัสบดี
โดยตลอดสัปดาห์ดาวโจนส์ปรับตัวลง 0.39% ขณะที่ S&P 500 บวกขึ้น 0.21% และ Nasdaq ขยับขึ้น 0.02%
อย่างไรก็ดี ถือว่าตลาดค่อนข้างนิ่งกว่าการซื้อขายในช่วง 4 วันแรกของสัปดาห์นี้ ซึ่งดัชนีดาวโจนส์ขยับขึ้นหรือลงในระดับตัวเลข 3 หลักในการซื้อขายแต่ละวัน หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหนือข่าวคราวเกี่ยวกับภาคการเงิน
รายงานทางเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์ไม่ได้แย่ไปกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ได้คาดการณ์ไว้ แต่ถึงกระนั้น รายงานดังกล่าวสามารถสะท้อนให้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจว่ายังคงทรุดลงขณะที่ก้าวเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐได้เปิดเผยตัวเลขจ้างงานเดือนก.ค.ร่วงลง 51,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการลดลงเดือนที่ 7 ติดต่อกันแล้ว แต่ยังดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งสูงเกินคาดสู่ระดับ 5.7% โดยข้อมูลที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์มีขึ้นหลังจากที่เมื่อวันพฤหัสบดีกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอเข้ารับสวัสดิการในระหว่างว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี
ขณะเดียวกัน สถาบันการจัดการอุปทานเผยว่า กิจกรรมการผลิตซบเซาในเดือนก.ค. และเมื่อผนวกกับรายงานการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่ได้มีการเปิดเผยในวันพฤหัสบดี ก็ยิ่งทำให้ตลาดวอลล์สตรีทแน่ใจมากขึ้นว่า สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว
เศรษฐกิจที่อ่อนแอลงได้บั่นทอนความสามารถของผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอยอย่างอิสระ ซึ่งก็ส่งผลสืบเนื่องไปถึงกำไรของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ล่าสุดได้แก่ จีเอ็ม ซึ่งเปิดเผยว่าขาดทุน 1.55 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสสอง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ และเป็นตัวเลขขาดทุนมากเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์ของบริษัท
หุ้นของจีเอ็มร่วงลง 84 เซนต์ หรือ 7.6% ปิดที่ 10.23 ดอลลาร์
นอกจากนี้ ยังมีข่าวไม่สู้ดีนักเกี่ยวกับภาคก่อสร้าง โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า กิจกรรมการก่อสร้างลดลงในเดือนมิ.ย. รวมถึงราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นมากกว่า 4 ดอลลาร์ ก่อนที่จะขยับลงมาแตะที่ 125.10 ดอลลาร์ ซึ่งก็ยังสูงกว่าระดับปิดวันก่อนอยู่ 1.02 ดอลลาร์ ถือเป็นการส่งสัญญาณว่าการร่วงลงอย่างฮวบฮาบของราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ได้ยุติลงอย่างน้อยก็ชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม หุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มการเงินกลับเดินหน้าได้ดีในการซื้อขายวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองในเชิงบวกว่าหุ้นธนาคารและบริษัทที่ให้บริการทางการเงินเริ่มที่จะฟื้นตัวขึ้นจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีปัญหาได้แล้ว หลังจากเห็นว่าผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทส่วนใหญ่ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ