KMC รับต้นทุนพุ่งกดดันความหวังพลิกเป็นกำไรปีนี้/ปรับกลยุทธลดขนาดบ้าน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 5, 2008 12:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.กฤษดามหานคร(KMC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"โดยยอมรับว่ายังไม่แน่ใจว่าปีนี้ผลประกอบการของบริษัทจะพลิกกลับมามีกำไรได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ เนื่องจากต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น มีแนวโน้มจะกระทบกับผลดำเนินงานของบริษัทค่อนข้างมาก 
อนึ่ง ปี 50 บริษัทมีผลขาดทุน 656.26 ล้านบาท
แม้ว่ายอดขายช่วงไตรมาส 1/51 และไตรมาส 2/51 จะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเพราะได้รับผลประโยชน์จากมาตราการภาครัฐ แต่ก็ยังไม่สามารถรองรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นอาจจะส่งผลให้ลูกค้าชะลอการซื้อบ้านลงได้ แต่ในด้านการรับรู้รายได้ปีนี้ดีกว่าปีก่อน ซึ่งอาจจะไม่ขาดทุน
นายวิชัย กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนโดยรวมของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-15% ซึ่งจากต้นทุนที่เพิ่มคงจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในเบื้องต้นปรับลดลงเหลือไม่เกิน 20% จากเดิมอยู่ที่ราว 30%
ทั้งนี้ บริษัทพยายามบริหารด้วยการหันมาสร้างบ้านแฝดแทนการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ซึ่งทำให้พื้นที่ใช้สอยลดลงจาก 140-150 ตารางเมตรเหลือ 120-130 ตารางเมตร ซึ่งส่งผลให้ระดับราคาขายลดลงตามไปด้วยตามต้นทุนที่ใช้น้อยลง แต่ในขณะเดียวกันจะทำให้สามารถขายได้เร็วขึ้น
"ยอมรับว่าแผนที่เราจะพลิกมาเป็นกำไรในปีนี้คงยากเพราะตอนนี้เรามีภาระในเรื่อง Cost ที่เพิ่มขึ้น และไหนแนวโน้มดอกเบี้ยที่จะเพิ่มอีก แม้จะมีมาตราการภาษีมาช่วย แต่มันไม่สามารถรองรับ Cost ที่เพิ่มได้ ตอนนี้ทุกคนกำลังเผชิญกับปัญหานี้เหมือนกัน ถึงจะปรับกลยุทธ์ยังไงก็ตาม เพราะกว่าโครงการที่ปรับและพัฒนาจะสร้างและโอนใช้เวลานาน ดังนั้นจึงอยากให้ทางการขยายเวลาลดหย่อนภาษีให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อช่วยการปรับตัว"นายวิรัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทคงจะเปิดโครงการใหม่ไม่มากนัก เพราะบริษัทอยู่ภายใต้การเจรจากับเจ้าหนี้ แต่เบื้องต้นคงจะเห็นการขยายเฟสใหม่ในโครงการเดิม ด้วยการนำรูปบ้าน"The pride"ที่มีลักษณะบ้านแฝดขนาดพื้นที่ประมาณ 120-130 ตารางเมตรเข้าไปใน 3 โครงการเดิมที่มีอยู่ เฉลี่ยประมาณ 10 ยูนิต จากเดิมที่จะมีแต่บ้านขนาดประมาณ 140-150 ตารางเมตร
นายวิรัตน์ กล่าวต่อว่า ส่วนการเจรจากับพันธมิตรที่เจรจาอยู่ 2 รายนั้นยังไม่มีความชัดเจน และคงจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพันธมิตรว่าจะมีความพร้อมเมื่อไหร่ และบริษัทคงไม่สามารถกดดันและไปเร่งรัดได้ แต่แผนในการดำเนินการยังคงต้องการเงินเพิ่มทุนจำนวน 1,500 ล้านบาทเพื่อใช้สำหรับการลงทุนในโครงการต่างๆ และขยายธุรกิจเพิ่มเติม

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ