ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 40.30 จุดหลังราคาน้ำมันดิบร่วงต่อ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 7, 2008 06:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ส.ค.) หลังจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 180 ดอลลาร์/บาร์เรลในระหว่างวัน และรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง ซิสโก ซิสเต็มส์ ซึ่งปัจจัยบวกดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายจากความกังวลเรื่องปัญหาในภาคการเงิน
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 40.30 จุด หรือ 0.35% แตะระดับ 11,656.07 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 4.31 จุด หรือ 0.34% แตะระดับ 1,289.19 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 28.54 จุด หรือ 1.21% แตะระดับ 2,378.37 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.19 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 17 ต่อ 14 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.24 พันล้านหุ้น
ลินคอล์น แอนเดอร์สัน นักวิเคราะห์อาวุโสจากบริษัทแอลพีแอล ไฟแนนเชียล ในเมืองบอสตัน กล่าวว่า "นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อเมื่อราคาน้ำมันดิบร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 โดยเมื่อคืนนี้ ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ปรับตัวลง 59 เซนต์ แตะระดับ 118.58 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่ราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 147.27 ดอลลาร์ ราคาได้ร่วงลงไปแล้วกว่า 30 ดอลลาร์"
นักลงทุนยังคงขานรับการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ตรึงอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้น (fed funds rate) ที่ 2.00% และแสดงความคิดเห็นที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจว่า "กิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตรมาสสองของปีนี้ยังคงขยายตัวได้ดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและการส่งออกยังคงมีการขยายตัว"
แต่นักลงทุนบางกลุ่มยังคงกังวลต่อกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยในวันข้างหน้า หลังจากที่เฟดคาดการณ์ว่าตัวเลขเงินเฟ้อจะขยายตัวขึ้นอีกในปีนี้และปีหน้า ซึ่งหนึ่งในข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่เฟดพิจารณาว่าเป็นต้นเหตุของเงินเฟ้อได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) เดือนมิ.ย. ที่เพิ่มขึ้น 1.1% ซึ่งขยายตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2548 โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันเบนซินที่พุ่งขึ้น และสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.7%
แม้ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวก แต่ภาวะการซื้อขายในตลาดได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า เฟรดดี แมค สถาบันผู้ให้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ ขาดทุน 821 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.63 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาสสองปีนี้ มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ถึง 3 เท่า เนื่องจากบรรดาลูกหนี้ไม่สามารถหาเงินมาชำระเงินกู้ซื้อบ้านได้ นอกจากนี้ เฟรดดี แมค ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในรัฐเวอร์จิเนีย ได้ประกาศลดเงินปันผลต่อหุ้นสามัญลงเหลือ 5 เซนต์ จาก 25 เซนต์ เพื่อพยุงสถานะทางเงินทุน และจะขายหุ้นอย่างน้อย 5.5 พันล้านดอลลาร์
ริชาร์ด ไซรอน ซีอีโอของเฟรดดี แมค กำลังหาทางที่จะเพิ่มเงินทุนและฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา หลังจากที่บริษัทขาดทุนในตลาดปล่อยกู้จำนองจนเป็นผลให้เกิดภาวะขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จนกระทั่งรัฐบาลสหรัฐต้องมอบหมายให้นายเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลัง ใช้ทุกมาตรการที่จำเป็นมาใช้เพื่อช่วยเหลือบริษัททั้งสองซึ่งเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลสหรัฐให้การสนับสนุน (GSE) ด้วยการอัดฉีดเงินทุนเข้าบริษัท และจัดหาเงินทุนเพื่อรับประกันการปล่อยสินเชื่อบ้านที่ผ่านการรีไฟแนนซ์
หุ้นบริษัทซิสโก ซิสเต็มส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายอินเทอร์เน็ต พุ่งขึ้น 5.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สูงเกินคาด ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้นด้วย ขณะที่หุ้นไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 3.1%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มการเงินยังคงถูกแรงขายทุบร่วงลง โดยหุ้นเฟรดดี แมค ดิ่งลง 19% หุ้นแฟนนี เม ร่วงลง 15% หุ้นซิตี้กรุ๊ปรูดลง 19.70% และหุ้นธนาคารวาโชเวียร่วงลง 3.4%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ