นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) คาดว่า ในปีนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะสามารถทำรายได้ถึง 2,000 ล้านเหรียญทะลุเป้าในปีนี้อย่างแน่นอน
"จากการที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2551 ไว้ที่ 1,800 ล้านเหรียญ และปี 2552 ตั้งเป้าที่ 2,000 ล้านเหรียญ แต่เมื่อดูจากผลประกอบการในครึ่งปีแรกที่ออกมานี้ ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะสามารถทำรายได้ถึง 2,000 ล้านเหรียญทะลุเป้าในปีนี้อย่างแน่นอน" นายธีรพงศ์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินวานในไตรมาส 2 บริษัทสามารถทำรายได้จากการขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 518.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2550 ที่เท่ากับ 396.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้จากการขายในรูปของเงินบาทก็เพิ่มขึ้น 22.3% จากยอดขาย 13,728.4 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2550 มาอยู่ที่ 16,792.3 ล้านบาทสำหรับไตรมาส 2 ปี 2551
สำหรับรายได้รวมนั้นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมีรายได้รวมเท่ากับ 16,873.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่เท่ากับ 13,877.8 ล้านบาท และสำหรับในไตรมาส 2 นี้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักกำไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเติบโตสูงถึง 72% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว และนับเป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาของบริษัท โดยในไตรมาสนี้ทำกำไรจากการดำเนินงานได้เท่ากับ 936.9 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 2 ปี 2550 ทำได้ 544.7 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลงานที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับไตรมาส 2 นี้ แต่ในส่วนของกำไรสุทธิ บริษัททำกำไรสุทธิเท่ากับ 403.4 ล้านบาท โดยลดลงเพียงเล็กน้อย 6.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2550 ที่เท่ากับ 430.2 ล้านบาท เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่ผันผวนในไตรมาสนี้ ทำให้กระทบกับบริษัทในส่วนของกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยนี้จะลดน้อยลง เนื่องจากขณะนี้ค่าเงินเริ่มมีแนวโน้มที่เสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งทำให้เรามั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกับกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีหลังอย่างแน่นอน ประกอบกับรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากเงินตราต่างประเทศ จึงได้มีการทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้บริษัทมีทั้งกำไร และขาดทุนอันเกิดจากค่าเงินที่ผันผวน แต่อย่างไรก็ดี เราคิดว่า เรายังมีความสามารถในการรับมือ และรักษา Margin ของบริษัทได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมแล้ว ค่าเงินบาทยังคงเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งสำหรับการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากมีการแข็งค่าขึ้นถึง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน รวมถึงราคาน้ำมัน และราคาวัตถุดิบปลาทูน่าที่สูงขึ้นมากจากปีก่อน แต่ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยรวมถึงการปรับกลยุทธ์ทางด้านการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย ทำให้บริษัทสามารถทำยอดขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐ ยอดขายในรูปของเงินบาท และยอดขายรวมเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น โดยเพิ่มขึ้น 30.7% 22.3% และ 21.6% ตามลำดับ
สำหรับสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาส 2 ปี 2551 นี้ ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ามีสัดส่วนการส่งออกเท่ากับ 50% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท รองลงมาได้แก่ กุ้งแช่แข็ง 18% อาหารแมวบรรจุกระป๋อง 8% อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 7% อาหารกุ้ง 6% ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ 6% ปลาซาร์ดีนบรรจุกระป๋อง 3% และ ปลาหมึกแช่แข็ง 2% โดยมีตลาดส่งออกหลักอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น อัฟริกา ตะวันออกกลาง เอเซีย โอเชียเนีย แคนาดา และอเมริกาใต้
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า จากผลงานที่เติบโตอย่างโดดเด่นในครึ่งปีแรก จะส่งผลให้การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของครึ่งปีแรกนี้ดีเหมือนเช่นเคย ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง และไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
สำหรับความคืบหน้าในเรื่องของอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งนั้น นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทเชื่อมั่นว่าการทบทวนอัตราภาษีใหม่ที่จะประกาศออกมาในเดือนกันยายนนี้จะปรับลดลงจาก 15.30% และจากการที่องค์การการค้าโลก (WTO) ได้ประกาศให้สหรัฐแพ้อุทธรณ์ในคดีการเรียกเก็บภาษีการทุ่มตลาดกุ้งนำเข้าจากประเทศไทย มีผลให้สหรัฐต้องยกเลิกอากร AD และภาษีซีบอนด์นั้น จากจุดนี้น่าจะส่งผลดีต่อการพิจารณาทบทวนอัตราภาษีใหม่ และมีผลให้บริษัทได้รับอัตราภาษีใหม่ที่ลดลง
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--