บมจ. จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY)คาดว่า ธุรกิจดิจิตอลในปี 51 จะสร้างรายได้กว่า 600 ล้านบาท หรือ เติบโต 35% จากปี 50 ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้บริษัทมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายมาที่ 8.5 พันล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปีก่อน และกำไรจะเติบโตได้สูงกว่า 10% จากปีก่อนที่มีกำไร 500 ล้านบาท
"กำไรจะต้องเติบโตมากกว่ารายได้อยู่แล้วเพราะ fix cost ของเราคงเดิม แต่รายได้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจดิจิตอลที่ลงทุนน้อยและสร้างกำไรให้ถึง 50% ของกำไรโดยรวม"นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ GRAMMY กล่าว
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของ GRAMMY มาจากธุรกิจดิืจิืตอลประมาณ 25% CD DVD ประมาณ 50% ที่เหลือเป็นธุรกิจอื่นๆ ซึ่งล่าสุดวันนี้ GRAMMY ได้ประกาศร่วมมือธุรกิจดิจิตอลกับบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างการเติบโตของรายได้ของธุรกิจดิจิตอลให้สูงขึ้นไปอีก
บริษัทร่วมมือกับ DTAC เพื่อให้ลูกค้า DTAC กว่า 18 ล้านรายสามารถดาวน์โหลดเพลงจากค่ายแกรมมี่ได้ไม่จำกัดโดยเหมาจ่ายเพียงเดือนละ 20 บาท เชื่อว่าจะมีลูกค้าเข้ามาดาวน์โหลดไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1 ล้านดาวน์โหลดภายใน 6 เดือน และจะเป็นการแำก้ปัญหาการดาวน์โหลดเถื่อนได้เป็นอย่่างดี เพราะราคานี้ถูกมา่ก และเชื่อว่าธุรกิจนี้จะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ บริษัทก็จะทำรายการทีวีเพื่อออกอากาศผ่านเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมที่มีในระบบกว่า 15 ล้านครัวเรือน โดยจะเริ่มจาก 3 สถานีในช่้วงไตรมาส 4/51 ส่วนการทำสถานีัโทรทัศน์ของตัวเองคงต้องรอให้เกิดคณะกรรมการกำกับการกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.)ก่อน เพื่อจะได้มีคลื่นความถี่ภายใต้การบริหารหากทำก็จะต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาทต่อสถานี
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในปี 51 แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะชะลอตัวแต่ช่วงที่ผ่านมาครึ่งปีแรกเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวี วิทยุยังคงเติบโตจากปีก่อน และแนวโน้มครึ่งปีหลังก็คาดว่าจะดีต่อเนื่อง เพราะบริษัททุ่มเททำงานเป็น 2 เท่าและมีปริมาณงานออกมาเพิ่มมากขึ้น ทั้งงานเพลง ทีวี เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ให้ได้ตามเป้าหมาย
สำหรับการลงทุนต่างประเทศบริษัทก็มีพาร์ทเนอร์เกาหลีญี่ปุ่นที่เป็นผู้จัดจำหน่ายผลงานให้กับศิลปินค่ายแกรมมี่ ส่วนการไปลงทุนให้กับนักผลิตเพลงในแต่ละประเทศอยู่ีระหว่างการศึกษา เพราะถ้าเข้าไปลงทุนด้วยตัวเองจะต้องใช้เงินมาก และจำเป็นต้องรู้ข้อมูลแต่ละประเทศชัดเจน
ขณะที่กรณีราคาหุ้นที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวและไม่มีสภาพคล่อง นายไพบูลย์ กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีแนวทางแก้ไขหรือแก้ปัญหาในขณะนี้เนื่องจากสภาวะยังไม่เอื้ออำนวยเนื่องจากราคาหุ้นอยู่้แถว 12-13 บาท และ PE ประมาณ 8 เท่าืถือว่าต่ำมาก เป็นเรื่องยากที่จะมีใครขายออกมา่ในตลาด
"ตอนนี้มีคนมาขอซื้อผมที่ 20 บาทต่อหุ้นผมยังไม่ขายเลยเพราะเมื่อเทียบกัีบปัจจัียพื้นฐานและความสามารถในการทำกำไรอย่างปี 50 ที่มีกำไรกว่่า 500 ล้านบาท ราคาหุ้นขณะนี้ืถือว่าถูกมาก จึงไม่มีใครยอมปล่อยออกมาในตลาดเป็นธรรมดาที่จะต้องมีปัญหาสภาพคล่อง"นายไพบูลย์ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--