บล.กสิกรไทย มองตลาดหุ้นในเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้น เพราะได้รับข่าวดีสนับสนุนทั้งในเรื่องเงินเฟ้อที่คาดว่าจะชะลอตัวหลงหลังเชื่อถึงจุดสูงสุดแล้ว รวมถึงปัจจัยบวกเรื่องเศรษฐกิจในประเทศ ส่วนปัจจัยการเมืองที่มีทิศทางที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันมองว่า กองทุนเฮจด์ฟันด์จะกลับมาซื้อหุ้นในช่วงสั้น หลังหันไปเก็งกำไรน้ำมันและสินค้าประเภทอื่น แต่ย้ำเข้ามาในระยะสั้น เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่คลี่คลาย และคาดว่าจะชะลอไปถึงครึ่งแรกของปีหน้า
"ปัจจัยตอนนี้เห็นบวกจะเห็น 2-3 อย่าง เงินเฟ้อที่คาดว่าผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในเดือนก.ค.และที่เหลือก็ไม่น่าจะรุนแรงแล้วอีกทั้งคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะไม่ขึ้นเกิน 0.25%-0.5%และอาจจะมีการลดภาษีนิติบุคคลเพราะคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจชุดใหม่ให้ความสำคัญกับการลดภาษีนิติบุคคลจึงช่วยตลาดหุ้นไทยได้บ้าง "นายสุชิล นารูลา กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวในงานเสวนา" ลงทุนอย่างไร ภายใต้สถานการณ์เงินเฟ้อและการเมืองตึงเครียด "
ส่วนปัจจัยด้านการเมืองมองว่าจะต้องจับตาดูการตัดสินในอีกหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ และระหว่างนี้ก็ไม่น่าจะมีการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วเพราะเหลือเวลาเพียง 2 เดือนการตัดสินคดีก็จะสิ้นสุดจึงไม่น่าจะมีเวลาเพียงพอและมองว่าทางออกที่ดีของรัฐบาลน่าจะเป็นการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่เพราะยังมีประชาชนบางส่วนที่ยังชอบพรรคพลังประชาชน แต่ถ้าหากยังเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้คะแนนเสียงที่มีอยู่หายไป
นายสุชิล กล่าวต่อว่า การลงทุนช่วงนี้ควรเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมหรือบริษัทที่สามารถปรับราคาสินค้าขึ้นได้ เพราะจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อน้อยเนื่องจากแม้เงินเฟ้อทั่วไปจะเริ่มลดลงแต่ในเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการ โดยกลุ่มที่ความเสี่ยงน้อยได้แก่ กลุ่มธนาคาร,โรงพยาบาล , โทรคมนาคม ,มีเดีย และ โรมแรม
ด้านนายศิริพงษ์ สุทธาโรจน์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ซิกโก้ (SSEC) คาดว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังมีโอกาสปรับตัวในทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากคาดว่าเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่ไหลออกไปลงทุนตลาดน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆ จะชะลอตัวลง
เนื่องจากมองว่าราคาน้ำมันน่าจะถึงจุดสูงสุดแล้วส่งผลให้มีการโยกกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย หรืออาจเห็นเม็ดเงินบางส่วนมาลงทุนในสินค้าเกษตรด้วย ขณะที่ราคาหุ้นไทยบางบริษัทต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) ถึง 40 - 50% และราคาหุ้นก็อยู่ในระดับต่ำ
นายนายสาธิต วรรณศิลปิน กรรมการผู้จัดการสายงานนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย จำกัด และกรรมการสมาคมนักวิเคราะห์ กล่าวว่าเป็นเรื่องยากที่จะเห็นการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยจนกว่าความเชื่อมั่นจะเข้าสู่ภาวะสมดุล ถึงแม้ในช่วงเดือนส.ค จะเห็นเงินเฟ้อถึงจุดสูงสุดแล้วซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ ประกอบกับในส่วนของภาวะเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะฟื้นตัวขึ้นด้วยซึ่งความเชื่อมั่นกลับมา ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยก็จะดีตาม
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ติดตามคือ ภาวะเศรษฐกิจโลก ทั้ง สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่นและจีน ต่างประสบปัญหาคล้ายกันซึ่งในประเทศญี่ปุ่นเริ่มเห็นสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยและอาจกดดันต่อภาวะเศรษฐกิจโลกทั้งนี้ต้องติดตามสถานการณ์ของประเทศจีนหลังโอลิมปิคด้วยจากก่อนหน้าที่มีการลงทุนค่อนข้างมาก
ส่วนกรณี บมจ.ปตท.( PTT ) ถูกกดดันจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)นั้นประเมินว่ามีโอกาสน้อยที่ PTT จะถูกถอนถอดออกจาก ตลท.เนื่องจากมีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ประมาณ 5 แสนล้านบาทประกอบกับจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความเชื่อมั่นของประเทศด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/ศศิธร/เสาวลักษณ์ โทร.0-2253-5050 ต่อ 353 อีเมล์: saowalak@infoquest.co.th--