ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (7 ส.ค.) เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในภาคการเงินของสหรัฐ หลังจากบริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (AIG) รายงานตัวเลขขาดทุน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากตัวเลขว่างงานที่สูงขึ้น ยอดค้าปลีกที่ซบเซาของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ และราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้น
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 224.64 จุด หรือ 1.93% ปิดที่ 11,431.43 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 23.12 จุด หรือ 1.79% ปิดที่ 1,266.07 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 22.64 หรือ 0.95% ปิดที่ 2,355.73 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 5.09 พันล้านหุ้น เพิ่มขึ้นจากวันพุธที่ 4.77 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 1
บิล สโตน นักวิเคราะห์จากกบริษัทพีเอ็นซี เวลธ์ เมเนจเมนท์ในกรุงนิวยอร์ก กล่าวว่า "ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างรุนแรงหลังจากเอไอจีเปิดเผยตัวเลขขาดทุน และกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขว่างงานที่สูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี รวมทั้งยอดค้าที่อ่อนแอของบริษัทวอล-มาร์ท"
AIG ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่อันดับ 1 ของโลกเปิดเผยว่า บริษัทมีตัวเลขขาดทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสที่สองของปีนี้ เนื่องจากวิกฤตการณ์ด้านสินเชื่อที่ทำให้บริษัทต้องปรับลดมูลค่าของตราสารประกันความเสี่ยงกรณีผิดนัดชำระหนี้ (CDS) เป็นวงเงินประมาณ 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ AIG รายงานตัวเลขขาดทุนประจำไตรมาสสองที่ 5.36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.06 ดอลลาร์ต่อหุ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ที่ 4.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.64 ดอลลาร์ต่อหุ้น
นายโรเบิร์ต วิลลัมสตัด ซีอีโอของ AIG กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสที่สองนั้นบริษัทยังดำเนินธุรกิจท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากภาวะวิกฤตในตลาดสินเชื่อและตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้บริษัทต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อฟื้นฟูความสามารถด้านการทำกำไรให้กลับคืนมา
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวสหรัฐที่ขอเข้ารับสวัสดิการในระหว่างว่างงาน พุ่งขึ้น 7,000 คน แตะระดับ 455,000 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปี 2545 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดว่าจะอยู่ที่ 430,000 คน โดยกระทรวงแรงงานระบุว่า ตัวเลขว่างงานพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงหลังจากบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) และสตาร์บัค ประกาศเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก
ส่วนอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายในตลาดคือราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ที่พุ่งขึ้น 1.44 ดอลลาร์ แตะที่ระดับ 120.02 ดอลลาร์/บาร์เรล
สมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐรายงานว่า ดัชนียอดการทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 5.3% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 3-3.5%
อย่างไรก็ตาม โจเซฟ บรูซูลัส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากเมิร์ก อินเวสท์เมนท์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า "ปัจจุบันผู้บริโภคต่างเลื่อนการซื้อบ้านออกไปก่อน โดยยอดขายบ้านที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 26 ปีกดดันให้ราคาบ้านลดลง นอกจากนั้นการปล่อยเงินกู้ที่เข้มงวดกว่าเดิมยังส่งผลให้การซื้อบ้านเป็นไปได้ยาก ซึ่งปัจจัยทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าปริมาณการซื้อบ้านน่าจะลดลงอีก"
"สหรัฐมีบ้านค้างสต็อกมากเกินไป และมีแนวโน้มว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวลงอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า" บรูซูลัสกล่าว
ทั้งนี้ หุ้น AIG ร่วงลง 5.25% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุน ขณะที่หุ้นเจนเวิร์ธ ไฟแนนเชียล ซึ่งอยู่ในกลุ่มประกัน ร่วงลง 9.9%
หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ดิ่งลง 4.2% หลังจากมูดีส์ประกาศลดอันดับเครดิตของบริษัท ส่วนหุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 6.2%
ส่วนหุ้นวอล-มาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่สุดของโลก ดิ่งลง 6.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายเดือนก.ค.ที่ต่ำเกินคาด
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--