โบรกเกอร์ต่างหนุนลงทุนหุ้น บมจ.ศุภาลัย(SPALI)มองปีนี้ผลกำไรเติบโตโดดเด่น หลังประกาศงบไตรมาส 2/51 และคาดว่าจะยังโตต่อเนื่องในปีหน้า เพราะบริษัทมีงานในมือ(Backlog)มากระดับหมื่นล้านบาท ส่งผลให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้สูง ขณะที่ราคาหุ้นปรับลงไปมาก จึงน่าเก็บเพื่อลงทุนระยะยาวได้
ราคาหุ้น SPALI วานนี้ปิดที่ 3.12 บาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
บล.โกลเบล็ก ซื้อ 4.80
บล.ไซรัส ซื้อ 4.30
บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 4.20
บล.กิมเอ็งฯ ซื้อ 4.00
บล.ฟิลลิป ซื้อ 4.00
บล.นครหลวงไทย ซื้อ 3.90
บล.ดีบีเอส ซื้อ 3.58
บล.ฟินันซ่า ซื้อ 3.95 (ปี 51) 5.16 (ปี 52)
นักวิเคราะห์จาก บล.นครหลวงไทย มองว่า SPALI ปีนี้ผลประกอบการเติบโตโดดเด่น คาดจะเติบโต 20% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 1,030 ล้านบาท และน่าจะจ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดว่าทั้งปี 51 จะมีอัตราผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 9.2% จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4.8% จากที่บริษัทประกาศจ่ายปันผลในอัตรา 0.15 บาท/หุ้น
โดยเฉพาะไตรมาส 2/51 มีรายได้เท่ากับ 2,199 ล้านบาทเติบโตถึง 98% จากปีก่อน และ 113% จากไตรมาสก่อน จากการรับรู้รายได้และโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการคอนโดมิเนียม City Home Sukhumvit 101/1 และรายได้จากแนวราบที่ชะลอโอนกรรมสิทธิ์มาจากไตรมาส 1/51 และมีกำไรสุทธิ 476 ล้านบาทซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยโต 159%จากปีก่อน และ 175% จากไตรมาสที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ยอดขาย หรือ ยอดจอง ในปีนี้จะได้ค่อนข้างสูงตามที่บริษัทตั้งเป้าไว้ 9,999 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมียอดขาย 5,500 ล้านบาท ซึ่งมีการเปิดโครงการใหม่ 3 แห่ง และครึ่งปีหลัง จะเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่า 8 พันล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ที่เหลือเป็นโครงการแนวราบ อย่างไรก็ตาม บล.นครหลวงไทยคาดว่าบริษัทจะทำยอดขายได้ราว 1 หมื่นล้านบาท
"ต้องบอกว่า SPALI เป็นบริษัทที่จ่ายปันผลสูง ค่อนข้างดึงดูดนักลงทุน ขณะเดียวกันผลประกอบการปีนี้โดค่อนข้างดี ทำให้มี earning ในระดับค่อนข้างดี ทำให้ผู้ถือหุ้นคงจะได้ผลตอบแทนในระดับที่สูง" นักวิเคราะห์ กล่าว
ทั้งนี้ มองว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังน่าจะมีแรงกดดันน้อยลงจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับลดลงและราคาในประเทศด้วย ทำให้ราคาเหล็กเส้นแนวโน้มปรับลดลง ผู้ประกอบการทำให้ต้นทุนไม่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันการปรับราคาขายก็คงไม่เห็น เนื่องจากที่ผ่านมาดีมานด์อ่อนตัวค่อนข้างมาก แต่บางโครงการปรับขึ้นเพื่อรับต้นทุนที่เพิ่ม ทั้งนี้เห็นว่ากลุ่มที่จะโตได้เป็นกลุ่มแนวราบ คือบ้านเดียว บ้านแฝด และ ทาวน์เฮ้าส์ ขณะที่คอนโดมิเนียม ยอดขายน่าจะอ่อนตัวลง เพราะราคาปรับขึ้นไปสูง ทำให้ผู้ที่ต้องการจริงต้องชะลอออกไป ส่วนผู้ทีซื้อเก็งกำไรน้อยลง
ส่วนบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ปรับประมาณการขึ้น 7% สะท้อนงบไตรมาส 2/51 โดยมองกำไรต่อหุ้นปี 51 เติบโต 26% และคาดหมายรายได้ปี 51 เติบโต 23% ที่ 5.8 พันล้านบาท แม้ Margin จะอ่อนลง แต่การประหยัดภาษีอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนสำคัญให้กำไรเติบโต 36%
ในขณะที่แนวโน้มปี 52 ยังน่าจะมีแนวโน้มเติบโตจากสถานะ Backlog ไปรอรับรู้ปีหน้า 4.7 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 80% ของประมาณการยอดรับรู้รายได้ปี 51 แล้ว โดยคาดว่ายอดรับรู้รายได้ปี 52 เติบโต 35% แต่ทิศ ทาง Margin ที่อ่อนลง และการไม่มาตรการภาษีอสังหาฯ เราคาดหมายกำไรต่อหุ้นเติบโต 7%
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.ฟินันซ่า คาดว่าในปี 52 SPALI จะเติบโตต่อเนื่องจากที่มี Backlog รอรับรู้รายได้ในปี 52 จำนวน 4.8 พันล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม จึงคาดว่าในปี 52 จะมีรายได้เติบโต 23% เป็น 7.5 พันล้านบาท จากปี 51 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 5.5 พันล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิในปี 52 คาดว่าจะเติบโต 20% เป็น 1,268 ล้านบาท จาก 1,053 ล้านบาท ในปี 51
ดังนั้น จึงได้ปรับเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 5.16 บาทในปี 52 จาก 3.95 บาท ในปี 51
นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าในช่วง 3 ปีนี้จะเพิ่มเป็น 9% ในปี 51 อยู่ที่หุ้นละ 0.28 บาท, 11% ในปี 52 หรือคิดเป็น 0.33 บาท/หุ้น และ 12% ในปี 53 คิดเป็น 0.35 บาทต่อหุ้น
"ศุภาลัย เป็นบริษัทที่มี Backlog มากส่งผลดีไปถึงปีหน้าเติบโตต่อเนื่อง เราจึงปรับราคาเป้าหมายในปีหน้า และก็ยังมี divided yield สูงมาก ก็คิดว่าน่าลงทุน แต่ตัวหุ้นมีมาร์เก็ตแคปน้อย ฝรั่งจึงไม่ลงทุน" นักวิเคราะห์จาก บล.ฟินันซ่ากล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--