ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดบวกขึ้นเมื่อวานนี้ (11 ส.ค.) หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวลง ซึ่งช่วยคลายความวิตกกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ดัชนีก็ไม่ได้บวกขึ้นมากนักหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดได้เปิดเผยรายงานที่ชี้ว่า ธนาคารต่างๆได้กำหนดมาตรการปล่อยกู้ที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งเป็นการตอกย้ำกับนักลงทุนว่าสถานการณ์สินเชื่อของประเทศยังมีปัญหาอย่างหนัก
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์บวก 48.03 จุด หรือ 0.41% ปิดที่ 11,782.35 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 9.00 จุด หรือ 0.69% ปิดที่ 1,305.32 จุด และดัชนี Nasdaq บวก 25.85 จุด หรือ 1.07% ปิดที่ 2,439.95 จุด
ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ร่วงลง 75 เซนต์ มาปิดที่ 114.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่เคยร่วงลงมาอยู่ที่ 112.72 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.
รายงานของเฟดระบุว่า ธนาคารประมาณ 75% ที่ตอบรับการสำรวจเมื่อเดือนก.ค.ได้เพิ่มเงื่อนไขในการปล่อยกู้ จากระดับเดือนเม.ย.ที่ธนาคารประมาณ 60% เท่านั้นที่เพิ่มเงื่อนไขดังกล่าว โดยการเพิ่มเงื่อนไขเช่นนีจะทำให้การกู้ยืมเป็นอย่างยากลำบากมากขึ้น ส่งผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยากลำบากด้วยเช่นกัน
จิม ฮาร์เดสตี ประธานฮาร์เดสตี แคปิตอล เมเนจเมนท์ กล่าวว่า การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลงนั้นช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อเศรษฐกิจลงได้ระดับหนึ่ง
หุ้นที่เกี่ยวกับคอนซูเมอร์ปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคมีเงินสดในกระเป๋ามากขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับเศรษฐกิจที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
หุ้นทาร์เก็ต คอร์ป พุ่ง 2.49 ดอลลาร์ หรือ 5.1% ปิดที่ 51.23 ดอลลาร์ ส่วนหุ้นสตาร์บัคส์ บวก 1.18 ดอลลาร์ หรือ 7.8% ปิดที่ 16.30 ดอลลาร์
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--