ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (12 ส.ค.) หลังจากวาณิชธนกิจ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และสถาบันการเงินรายอื่นๆ เปิดเผยตัวเลขขาดทุนรายไตรมาส ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้เกิดความกังวลว่า ผลกระทบจากวิกฤตการณ์สินเชื่อที่มีต่อเศรษฐกิจนั้น อาจรุนแรงกว่าที่ประเมินกันไว้ในเบื้องต้น
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 139.88 จุด หรือ 1.19% ปิดที่ 11,642.47 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 15.73 จุด หรือ 1.21% แตะที่ 1,289.59 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 9.34 จุด หรือ 0.38% แตะที่ 2,430.61 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.12 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.09 พันล้านหุ้น
ฟิล ออร์แลนโด นักวิเคราะห์จากบริษัทเฟเดอเรทเต็ด อินเวสเตอร์ส ในกรุงนิวยอร์ก กล่าวว่า นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มการเงินอย่างหนัก หลังจากเจพีมอร์แกน เชส เปิดเผยตัวเลขขาดทุนรายไตรมาส 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการตั้งสำรองหนี้สูญและการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี ส่งผลให้ราคาหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลงกว่า 9%
"การขาดทุนของเจพีมอร์แกนซึ่งเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐได้จุดปะทุให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐอีกระลอก ขณะที่หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลงหลังจากนักวิเคราะห์หลายรายปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนและผลประกอบการของวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่แห่งนี้" ออร์แลนโดกล่าว
อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์สามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้และนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลง 1.44 ดอลลาร์ แตะระดับ 113.01 ดอลลาร์/บาร์เรล อย่างไรก็ตาม ราคาทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 115.60 ดอลลาร์ หลังจากมีข่าวว่าบริษัทบีพีประกาศปิดท่อส่งน้ำมันที่ทอดผ่านจอร์เจีย ซึ่งเป็นผลมาจากการสู้รบระหว่างกองกำลังทหารรัสเซียและจอร์เจีย
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า ยอดขาดดุลการค้าเดือนมิ.ย.ลดลง 4.1% แตะระดับ 5.68 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 5.92 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากยอดส่งออกพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกน ดิ่งลง 9.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนรายไตรมาส 1.5 พันล้านดอลลาร์ และนักวิเคราะห์จากลาเดนเบิร์ก ธาลแมน ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการของเจพีมอร์แกนในปีนี้ ขณะที่หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 6.3% หลังจากนักวิเคราะห์หลายรายปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนและผลประกอบการของโกลด์แมน แซคส์
ส่วนหุ้นธนาคารวาโชเวีย ดิ่งลง 11.9% หลังจากธนาคารประกาศแผนลดจำนวนพนักงานกว่า 600 ตำแหน่ง โดยมีเป้าหมายที่จะลดต้นทุนการดำเนินงาน หลังจากธนาคารขาดทุนอย่างหนักในตลาดซับไพรม์ และหุ้นธนาคารยูบีเอสร่วงลง 6.2% หลังจากมีข่าวว่าธนาคารเตรียมแยกธุรกิจวาณิชธนกิจออกจากธุรกิจหลัก เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--