ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 109.51 จุดหลังราคาน้ำมันดิบพุ่ง,ยอดค้าปลีกชะลอตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 14, 2008 06:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 100 จุดเมื่อคืนนี้ (13 ส.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะของสถาบันการเงินในสหรัฐ นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเกือบ 3 ดอลลาร์ และยอดค้าปลีกของสหรัฐที่ปรับตัวลดลง ยิ่งกดดันบรรยากาศการซื้อขายให้ซบเซาลง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วง 109.51 จุด หรือ 0.94% แตะที่ 11,532.96 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 3.76 จุด หรือ 0.29% แตะที่ 1,285.83 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 1.99 จุด หรือ 0.08% แตะที่ 2,428.62 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.21 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 5 ต่อ 4 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.05 พันล้านหุ้น
คิม ค็อจเฮย์ นักวิเคราะห์จากบริษัทฟอร์ท พิทท์ แคปิตอล ในกรุงนิวยอร์ก กล่าวว่า "ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันหลายด้าน รวมถึงรายงานยอดค้าปลีกที่อ่อนแอของสหรัฐ ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง และวิกฤตการณ์สินเชื่อ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นรุนแรง จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะ stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น) เร็วขึ้น"
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกลดลง 0.1% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นผลมาจากยอดค้าปลีกของดีลเลอร์รถยนต์ที่ร่วงลงอย่างหนัก และสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังลังเลที่จะใช้จ่ายในช่วงที่ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ส่วนยอดค้าปลีกไม่รวมรถยนต์เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค.
ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ยอดค้าปลีกจะลดลง 0.1% ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1 % ในเดือนมิ.ย. และยอดค้าปลีกที่ไม่รวมรถยนต์จะเพิ่มขึ้น 0.5 % ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9 % ในเดือนมิ.ย.
ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงส่งผลให้บรรยกาศการซื้อขายซบเซาลงอย่างหนัก โดยเมื่อคืนนี้ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้น 2.99 ดอลลาร์ แตะระดับ 116 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเกินคาด
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะของสถาบันการเงินในสหรัฐ หลังจากเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขขาดทุนไตรมาสสามมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการตั้งสำรองหนี้สูญและการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี ส่งผลให้ราคาหุ้นเจพีมอร์แกนร่วงลงหนักสุดในรอบ 6 ปี
ริชาร์ด โบฟ นักวิเคราะห์จากลาเดนเบิร์ก แอนด์ ธาลแมน กล่าวว่า "การขาดทุนของเจพีมอร์แกนสะท้อนให้เห็นว่าสถาบันการเงินใกล้เผชิญวิกฤตการณ์ที่รุนแรง สถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัททุกแห่งไม่ว่าจะเป็นบริษัทใดก็ตาม" ทั้งนี้ โบฟได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการของเจพีมอร์แกนลงสู่ระดับ 2.23 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากเดิมที่ระดับ 2.46 ดอลลาร์ต่อหุ้น และปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นเจพีมอร์แกน ลงสู่ระดับ 39 ดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 43 ดอลลาร์
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะของสถาบันการเงินได้ฉุดหุ้นกลุ่มการเงินร่วงลง โดยหุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกาดิ่งลง 7.3% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ดิ่งลง 5.5% ส่วนหุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นโฮมดีโปท์ ร่วงลง 3.49% และหุ้นทาร์เก็ต คอร์ป ร่วงลง 2.61%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ