บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่(GRAMMY)ระบุว่าภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจในโมเดลใหม่ด้วยการควบรวม บมจ.จีเอ็มเอ็ม มีเดีย(GMMM) เพื่อรองรับยุคบันเทิงดิจิตอล จะส่งผลดีทั้งในเชิงรายได้และกำไร โดยคาดว่ากำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีหลังจะโตก้าวกระโดดจากครึ่งปีแรกที่มีกำไรสุทธิ 313 ล้านบาท และกำไรทั้งปี 51 จะสูงขึ้นจากปีก่อนอย่างมาก ขณะที่รายได้รวมของ GRAMMY จะสูงกว่าเป้าหมาย 8 พันล้านบาทแน่นอน
"เราเชื่อว่าครึ่งปีหลังกำไรสุทธิจะดีกว่างครึ่งปีแรก จากการปรับโครงสร้างในโมเดลธุรกิจใหม่รองรับยุคดิจิตอล เปลี่ยนรูปแบบการขายสินค้าแบบแผ่นจากขายผ่านตัวแทนจำหน่าย(Distributor)มาเป็นจำหน่ายเอง(Retailer) ประกอบกับธุรกิจมีเดียทั้งหมดดีขึ้นเยอะ"นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ GRAMMY กล่าว
ในปี 50 GRAMMY มีกำไรสุทธิ 502.24 ล้านบาท ขณะที่ GMMM กำไรสุทธิ 216.15 ล้านบาท
ภายใต้แผนปรับโมเดลธุรกิจใหม่ GRAMMY จะออกหุ้นเพิ่มทุน 40.56 ล้านหุ้น เพื่อรับซื้อหุ้น GMMM ในรูปแบบการแลกหุ้นสัดส่วน 1 ต่อ 1 และจะเพิกถอน GMMM ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในที่สุด โดย GRAMMY เชื่อว่าการควบรวม
จะส่งผลดีในแง่ของการลดต้นทุน และค่าบริหารจัดการต่าง ๆ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า การนำธุรกิจคอนเท้นท์ของ GRAMMY มารวมกับธุรกิจมีเดียของ GMMM จะส่งผลดีในแง่ของผลประกอบการ และการออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ยังช่วยให้ฟรีโฟลทของ GRAMMY เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้หุ้น GRAMMY เป็นที่สนใจของนักลงทุนมากขึ้นจากที่ผ่านมาหุ้นไม่ค่อยมีสภาพคล่อง
ด้านนายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการ GRAMMY กล่าวเสริมว่า ตอนที่นำ GMMM เข้าตลาดหุ้น เพราะขณะนั้นคณะกรรมการการสื่อสารแห่งชาติ(กสช.)กำลังจะจัดตั้ง ทีวีเสรีก็ทำท่าจะเกิด จึงต้องการระดมทุนรองรับการเติบโตทางธุรกิจเพื่อเข้าประมูลสถานีวิทยุและโทรทัศน์
แต่จนถึงปัจจุบัน กสช.ยังไม่ได้ถูกจัดตั้ง ประกอบกับเทคโนโลยีมีราคาถูกลงและมีทางเลือกที่หลากหลาย จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
"ถ้า กสช. ถูกจัดตั้ง ทีวีเสรีสามารถทำกำไรได้ดีอย่างชัดเจน เราก็ยังกลับตัวได้ เพราะกลุ่มมีความคล่องตัวสูงที่จะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับกระแส แต่วันนี้เราไม่มีเหตุผลที่จะต้องรอสิ่งที่ยังไม่เกิด"นายสุเมธ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในปีนี้ GRAMMY คาดว่าอัตรากำไรสุทธิ(Net Profit Margin)จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดขึ้นมาเป็น 10% จากที่อยู่ในระดับ 7-8% ในปี 50 และจะเพิ่มเป็นอีกเป็น 15% ในปี 52 และเชื่อว่าบริษัทจะสามารถจ่ายปันผลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งหลังของปี 51 ได้สูงกว่าหุ้นละ 0.60 บาทในงวดระหว่างกาลครึ่งปีแรก
*ครึ่งปีหลังเดินหน้าทีวีดาวเทียม ส่วนปี 52 ทุ่มลงทุน 500-600 ลบ.ใน 3 ธุรกิจสำคัญ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า แผนงานในครึ่งปีหลัง GRAMMY จะเริ่มทำธุรกิจทีวีดาวเทียม 24 ชม.ในประเทศหลายช่อง ภายใน ต.ค.51 ใช้เงินลงทุนช่องละ 100 ล้านบาท คาดว่าจะคุ้มทุนภายใน 1 ปี รวมทั้งมีแผนจะจับมือพันธมิตรสหรัฐทำธุรกิจด้านมีเดียในแถบเอเชียในช่วงปลายปี 51 ด้วย โดยเบื้องต้นจะร่วมมือกันทีละโปรเจ็คต์ ซึ่งหากสามารถการร่วมมือกันเป็นไปด้วยดีในอนาคตอาจจะทำในลักษณะการ Joint Venture
"มองว่าอีก 5 ปีข้างหน้าธุรกิจเพลงของบริษัทฯ จะขยายไปในหลายๆ ประเทศ เพลง 1 เพลงสามารถทำออกมาได้หลายๆ ภาษาซึ่งเชื่อว่ารายได้จากธุรกิจต่างประเทศจะดีขึ้นจากปัจจุบันอย่างชัดเจน"นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวถึงแผนลงทุนในปี 52 ว่า จะใช้ประมาณ 500-600 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจดิจิตอล บรอดคาสติ้งและโทรทัศน์
โดยในธุรกิจดิจิตอลจะเป็นส่วนที่ทำให้รายได้ของ GRAMMY เสถียรขึ้น ทั้งจากบริการ จีเม็มเบอร์, ดาราโอเกะ และบริการดาวนโหลดผ่านโทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เนต ซึ่งกลุ่มดิจิตอลทำรายได้ให้กับบริษัทสูงถึง 70-80%
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--