(เพิ่มเติม) CIG ใช้ 144.95 ลบ.ลงทุน"เดอ ละไม"ลุยธุรกิจโรงแรม,คาดรง.ใหม่ผลิต Q4/51

          บมจ. ซี.ไอ.กรุ๊ป (CIG) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการเข้าลงทุนในบริษัท เดอ ละไม จำกัด ด้วยการซื้อหุ้นจำนวน 999,680 หุ้น ในสัดส่วนร้อยละ 99.97 ของทุนที่ออกและชำระแล้วของบริษัท ในราคาหุ้นละ 145 บาท จากผู้ถือหุ้นเดิม รวมเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้นจำนวน 144,953,600 บาท 
          แหล่งเงินทุนที่ใช้จากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยคาดหวังจะได้รับผลตอบแทนจากการ
ลงทุนในรูปของเงินปันผล และรายได้ทางอ้อมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ(ผลิตภัณฑ์คอยล์ของ CIG)ให้แก่ผู้ประกอบการโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์อื่น 
          บริษัท เดอ ละไม จำกัด ดำเนินธุรกิจโรงแรม สถานที่ตั้งและประกอบธุรกิจ เลขที่ 127/11 หมู่ที่ 3 ต.มะเร็ต อ.
เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ทุนจดทะเบียน 100,000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท มูลค่าทางบัญชี (30 เมษายน 
2551) 89.62 บาท ต่อหุ้น
          "การเข้าลงทุนธุรกิจโรงแรมในบริษัท เดอ ละไม นอกจากทำให้บริษัทมีรายได้จากเงินปันผลในการลงทุนครั้งนี้ ยังจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้ทางอ้อมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ ให้แก่ผู้ประกอบการโรงแรม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ อีกด้วย"นายอารีย์ พุ่มเสนาะ ประธานกรรมการบริหาร CIG กล่าว
          สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้ 410.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.10 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีที่แล้ว หรือเพิ่มขึ้น 13.59% เนื่องจากลูกค้ารายใหญ่มีการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น แต่กำไรสุทธิ 21.83 ล้านบาท ลดลง 18.41 ล้านบาท หรือ 45.74% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีที่แล้ว เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารกิจการเพิ่มขึ้น
           “ครึ่งปีหลังของเราจะเป็นช่วงเก็บเกี่ยว รายได้ที่ตั้งไว้ว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น จากปีก่อนที่เราทำได้ 1.3 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้กำไรเติบโตตามไปด้วย เพราะราคาวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องต้นทุนพลังงานปรับขึ้นก็ไม่ได้กระทบกับความสามารถทำกำไรของบริษัทฯ เพราะการกำหนดราคาขายสินค้าจะขยับปรับขึ้นตามจริงได้ และเชื่อมั่นว่าตลอดทั้งปีลูกค้าจะยังคงมีการส่งคำสั่งซื้อต่อเนื่องต่อไป"นายอารีย์ กล่าว
          ในส่วนของความคืบหน้าการขยายกำลังการผลิต ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างทยอยติดตั้งเครื่องใหม่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 4 เป็นแผนเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2,000 ล้านตารางนิ้วต่อปี จาก 1,300 ล้านตารางนิ้วต่อปี คาดว่าจะเดินเครื่องในเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/2551 เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น