นายสมชัย เลขะพจน์พานิช กรรมการผู้จัดการ บมจ.แปซิฟิกไพพ์(PAP)คาดว่า ยอดขายของบริษัทในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 4 พันล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 3 พันล้านบาท เนื่องจากการเติบโตของราคาเหล็ก ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 36 บาท/กก. เมื่อเทียบกับต้นปีที่อยู่ในระดับ 25 บาท/กก.
แต่อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อของผู้บริโภคอาจจะน้อยลงไปบ้าง เนื่องจากปัจจัยกดดันเรื่องราคาเหล็กผันผวน แต่ยังคาดว่าในช่วงไตรมาส 3/51 บริษัทจะทำรายได้ได้ตามเป้าหมายที่ 1 พันล้านบาท
"เราเชื่อว่าในครึ่งปีหลัง ราคาเหล็กอาจจะมีการปรับตัวลดลง หลังจากผู้บริโภคเริ่มกดดันและชะลอการซื้อเช่นเดียวกับสถานการณ์น้ำมัน แต่เชื่อว่าจะไม่มีการปรับลดลงอย่างรุนแรง จนส่งผลให้บริษัทขาดทุนจากการสต๊อกเหล็ก ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่ามีการเก็งกำไรราคาเหล็กบ้างตามภาวะตลาด แต่ทำด้วยความระมัดระวัง"นายสมชัย กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 51 บริษัทมีอัตรกำไรขั้นต้นที่สูงกว่า 13% และเชื่อว่าทั้งปีจะรักษาระดับนี้ไว้ได้ แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องราคาเหล็กที่มีความผันผวน
นายสมชัย กล่าวถึงการขยายกำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มอีก 5 หมื่นตันในส่วนของท่อเหล็กขนาดใหญ่ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบการผลิต และคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ในต้นปี 52 ทำให้บริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่น่าจะควบคุมได้ โดยในช่วงต้นปี 52 กำลังผลิตของบริษัทจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3 แสนตัน/ปี จากปัจจุนอยู่ที่ 2.5 แสนตัน/ปี
"สำหรับท่อเหล็กขนาดใหญ่ เราเป็นเจ้าแรกที่ผลิตได้ เชื่อว่าจะสร้างยอดขายให้ในปี 52 อย่างชัดเจน โดยสัดส่วนรายได้ท่อใหญ่ประมาณ 50% และท่อขนาดอื่นรวมกันประมาณ 50% และท่อขนาดใหญ่เชื่อว่าจะออกมารองรับกับงานเมกะโปรเจ็คต์ที่คาดว่าจะได้เริ่มเห็นปลายปีนี้"นายสมขัย กล่าว
สถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกขณะนี้เชื่อว่าผู้ผลิตรายใหญ่อย่างรัฐบาลจีนที่ควบคุมโรงงานผลิตเหล็กส่วนใหญ่ในประเทศ และบริษัทเอกชนรายใหญ่อย่างอาร์เซลอร์คงจะไม่ปล่อยให้ราคาเหล็กปรับลดลงมาก เนื่องจากเป็นผู้ชี้นำราคาเหล็กในตลาดโลก
และแม้ว่าจีนจะเสร็จสิ้นการก่อสร้างเพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค แต่ก็ยังมีแผนก่อสร้างเพื่อรองรับการจัดงานเอ็กซ์ในให้เซี่ยงไฮ้ รวมถึงการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคต่าง ๆ อย่างเช่นโครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเชื่อว่าจะไม่ทำให้เกิดการชะลอตัวของความต้องการใช้เหล็กอย่างรุนแรงแน่นอน
นายสมชัย กล่าวว่า ครึ่งหลังของปีนี้เป็นไปได้ว่าบริษัทจะจ่ายปันผลในระดับที่ดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่จ่ายไป 0.12 บาท/หุ้น เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกกำไรสุทธิของบริษัทก็สูงกว่ากำไรทั้งปีของปี 50 ไปแล้ว และในครึ่งปีหลังก็ยังคาดว่ายังจะดีต่อเนื่อง
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/ศศิธร/นิศารัตน์ โทร.0-2253-5050 ต่อ 322 อีเมล์: nisarat@infoquest.co.th--