บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) คาดหวัง กำไรในครึ่งหลังปี 2551 จะไม่ได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบปลาทูน่ายังคงสูงอยู่ เพราะราคาน้ำมันที่กำลังจะลดลงจะช่วยทำให้ต้นทุนไม่สูงเกินการคาดการณ์ของบริษัท ในส่วนของราคากุ้งก็ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักทำให้บริษัทสามารถคำนวณกำไรได้อย่างชัดเจน
สำหรับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ บริษัทได้มีการทำสัญญาซื้อ-ขายอัตราแลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้าเพื่อประกันความเสี่ยงจากค่าเงินบาทไว้แล้ว
"คาดว่าจะไม่มีผลกระทบกับกำไรในปลายปี 2551 โดยบริษัทคาดว่าผลจากการตัดสินเรื่องการทุ่มตลาดกุ้งของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังจะประกาศในวันที่ 2 กันยายน 2551 น่าจะออกมาดี ประกอบกับยอดขายที่น่าจะเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังจะทำให้กำไรในครึ่งปีหลังออกมาดีมากเช่นกัน" TUF ระบุในบทวิเคราะห์งบการเงินบริษัท
ยอดขายในไตรมาส 2/51 ยังเติบโตได้อย่างมาก ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญสภาวะทั้งราคาน้ำมัน และราคาวัตถุดิบปลาที่สูงขึ้นตลอดไตรมาส โดยยอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 518.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.7% จากไตรมาสที่ 2 ปี 2550 ขณะที่ยอดขายในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 22.3% จากไตรมาสที่ 2/50 และมีกำไรจากการดำเนินงานเท่ากับ 936.9 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ TUF นับตั้งแต่กำไรขั้นต้นกลับมาสู่ในสภาวะปกติ ซึ่งเป็นผลดีมาจากความสามารถในการปรับราคาเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุน
และค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าลง สำหรับค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐเริ่มอ่อนค่าลงนับตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2551 โดยอ่อนค่าลง 6.4% จากไตรมาสที่ 1/51 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 31.51 บาท/เหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ระดับ 33.53 บาท /เหรียญสหรัฐ (เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2551) ทำให้มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 329 ล้านบาท ซึ่งต้องรับรู้ตามที่มาตรฐานทางการบัญชีได้กำหนดไว้ ขณะที่ในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เท่ากับ 444.4 ล้านบาท (สาเหตุมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น)
ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 2/51 เท่ากับ 403.4 ล้านบาท ลดลง 6.2% จากไตรมาสที่ 2/50 ในขณะที่กำไรสุทธิของ 6 เดือนแรกในปี 2551 เท่ากับ 981 ล้านบาท สูงกว่ากำไรสุทธิของ 6 เดือนแรกในปี 2550
ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่า ภายในระยะเวลา 5 ปี (นับตั้งแต่ปี 2546) บริษัทสามารถจะทำยอดขายไปถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ได้ภายในปี 2551 อย่างแน่นอน
ขณะที่ กำไรจากการดำเนินงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท จากการปรับราคาขายเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุน และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้ในไตรมาสนี้บริษัทยังคงรักษาระดับกำไรขั้นต้นไว้อยู่ที่ 13.34% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารไม่เปลี่ยนแปลง โดยมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 5.58% ของยอดขาย ซึ่งพบว่ายอดขายที่เติบโตขึ้นมาก ทำให้ในไตรมาสที่ 2/51 มีกำไรจากการดำเนินงาน สูงถึง 937 ล้านบาท สูงกว่าในไตรมาสที่ 1/46 ซึ่งเท่ากับ 931 ล้านบาท ที่เคยสูงที่สุดมาก่อน
ยอดขายที่เติบโตอย่างมากจากทูน่า อาหารแมวบรรจุกระป๋อง และผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ โดยที่ยอดขายจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในไตรมาสที่ 2/51 สูงขึ้นมากกว่า 10% จากในไตรมาสที่ 2/50 โดยทูน่าเติบโตขึ้น 29.2% อาหารแมวบรรจุกระป๋องเติบโตขึ้น 38.7% และผลิตภัณฑ์ภายในประเทศเติบโตขึ้น 68.4%
สำหรับซาร์ดีนกระป๋องเติบโตขึ้นอย่างมากจากไตรมาสที่ 2/51 ทั้งนี้เป็นผลดีมาจากการทำข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ตั้งแต่พฤศจิกายน 50 ที่ทำให้ตลาดประเทศญี่ปุ่นมียอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐสูงขึ้น 61.8% จากในไตรมาสที่ 2/50
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--