ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 12.78 จุดหลังนักวิเคราะห์แนะซื้อหุ้นเลห์แมน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 22, 2008 06:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนไม่ให้ความสำคัญกับราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง แต่กลับไปให้ความสำคัญกับข่าวที่ว่านักวิเคราะห์หลายรายแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นเลห์แมน บราเธอร์ส ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 12.78 จุด หรือ 0.11% แตะที่ 11,430.21 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 3.18 จุด หรือ 0.25% แตะที่ 1,277.72 จุด แต่ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 8.70 จุด หรือ 0.36% แตะที่ 2,380.38 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 911 ล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วนกว่า 1 ต่อ 3 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 1.54 พันล้านหุ้น
ตลาดหุ้นนิวยอร์กขานรับข่าวที่ว่า นักวิเคราะห์ลาเดนเบิร์ก ธัลมานน์ ประกาศเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนแก่หุ้นเลห์แมน บราเธอร์ส พร้อมกับแนะนำให้นักลงทุน "ซื้อ" หุ้นดังกล่าว โดยเชื่อว่าเลห์แมน บราเธอรส์ ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 4 ของสหัฐจะสามารถเข้าเทคโอเวอร์กิจการวาณิชธนกิจคู่แข่งได้ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยกระตุ้นบรรยากาศการซื้อขายให้คึกคักขึ้น และทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐ
ควินซี ครอสบี้ นักวิเคราะห์จากเดอะฮาร์ทฟอร์ท กล่าวว่า "ข่าวในด้านบวกจากเลห์แมน บราเธอร์ส ช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้สำเร็จ นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้นกว่า 5 ดอลลาร์ ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานทะยานขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นรุนแรงเช่นนี้ส่งผลให้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กผันผวน เนื่องนักลงทุนวิตกกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และเป็นเหตุผลสำคัญที่สกัดช่วงขาขึ้นของดาวโจนส์เมื่อคืนนี้ด้วย"
ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นเอ็กซอนโมบิลพุ่งขึ้น 2% หุ้นเชฟรอนทะยานขึ้น 2.4% แต่กลับถ่วงหุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลง โดยหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ร่วงลง 8.6% หุ้นคอนติเนนตัล แอร์ไลน์ ร่วงลง 5.4%
แอ็กเซล เมิร์ก นักวิเคราะห์จากบริษัทเมิร์ก อินเวสท์เมนท์ แอลแอลซี ในรัฐแคลิฟอร์เนีย แสดงความเห็นว่า แผนการของนายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐที่ต้องการกอบกู้วิกฤตแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลสหรัฐให้การสนับสนุน (GSE) และมีหน้าที่จัดหาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ซื้อบ้านนั้น จะสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน มากกว่าจะช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวล
"การดำเนินการดังกล่าวของกระทรวงการคลังกำลังเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับภาคธุรกิจการเงิน และการใช้เงินภาษีของประชาชนเข้าอุ้มกิจการแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ทำให้เกิดข้อกังขาในวงกว้าง รัฐบาลและสภาคองเกรสไม่ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรต่อไปในการแก้วิกฤตการณ์ในภาคการเงิน ซึ่งท่าทีเช่นนี้สร้างความหวั่นวิตกให้กับนักลงทุนและประชาชนผู้เสียภาษี" เมิร์กกล่าว
ราคาหุ้นแฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่นิตยสารบาร์รอนรายงานว่า หากแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ไม่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนครั้งใหม่ ก็อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐเพิ่มทุนด้วยตัวเอง ด้วยนำเงินของผู้เสียภาษีมาซื้อหุ้นทั้งหมดของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค และรวบกิจการทั้งหมดมาเป็นของรัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้หนี้สินของสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ทั้งนี้ หุ้นแฟนนี เม ร่วงลง 10% หุ้นเฟรดดี แมค ดิ่งลง 2.7% หุ้นเลห์แมน บราเธอร์ส ปิดลบ 1 เซนต์ แตะที่ 13.72 ดอลลาร์ หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 1.83 ดอลลาร์ หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดิ่งลง 34 เซนต์ ปิดที่ 37.03 ดอลลาร์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ