นักวิเคราะห์คาดทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์กสัปดาห์นี้อิงราคาน้ำมัน-ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 25, 2008 06:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า ทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กนิวยอร์กในสัปดาห์นี้จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบและข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆของสหรัฐ โดยเฉพาะด้านการใช้จ่ายผู้บริโภค 
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 ส.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่ง 197.85 จุด หรือ 1.73% แตะที่ 11,628.06 จุด เนื่องจากนักลงทุนขานรับราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ที่ร่วงลง 6.59 ดอลลาร์ ปิดที่ 114.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทันทีหลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลง
ข้อมูลเศรษฐกิจที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีอิทธิพลต่อทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีการผลิตทั่วประเทศประจำเดือนก.ค.ของสหรัฐซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโกจะเปิดเผยในคืนวันจันทร์ และสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐจะเปิดเผยยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค.
ในวันอังคาร กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค.และสำนักงานคอนเฟอเรนซ์บอร์ดจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนส.ค. ส่วนวันพุธกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ค.และเฟดสาขาชิคาโกจะเปิดเผยดัชนีอุตสาหกรรมเขตมิดเวสต์เดือนก.ค.
วันพฤหัสบดีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2 และกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนชาวอเมริกันที่ขอเข้ารับสวัสดิการในระหว่างว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนในวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยรายได้และการบริโภคส่วนบุคคลเดือนก.ค. และมหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูผลประกอบการของวาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ หลังจากวิลเลียม ทาโนนา นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า เลห์แมน บราเธอร์ส จะขาดทุนอย่างหนักถึง 2.5-3.5 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสสาม และเชื่อว่าการที่ภาคการเงินของสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นได้นั้นยังคงต้องเวลาอีก 2-3 ไตรมาส
ทาโนนายังปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาสสามและผลประกอบการตลอดปีพ.ศ.2551 ของเมอร์ริล ลินช์, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และมอร์แกน สแตนลีย์ โดยคาดว่าวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีโดยรวมกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากวิกฤตการณ์สินเชื่อที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว และส่งผลให้สถาบันการเงินหลายแห่งขาดทุนหนักสุดเป็นประวัติการณ์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ