บมจ.สยามสตีล อินเตอร์เนชั่นแนล (SIAM) เตรียมรับรู้รายได้จากงานล็อตสุดท้ายในอินโดนีเซียกว่า 100 ล้านบาท และอยู่ระหว่างส่งมอบงานล็อตที่ 2 จากออสเตรเลียอีกราว 175 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 1/52 (ก.ค.-ก.ย.51) ขณะที่งานในออสเตรเลียล็อต 2 ได้ปรับขึ้นราคามาแล้ว 5-15% ตามต้นทุน และยังอยู่ระหว่างเจรจาลูกค้ารายอื่นๆ ในประเทศออสเตรเลียเหมือนกันอีกหลายราย แต่คาดว่ามูลค่าจะมากกว่างานในล็อตที่ 2
"คงเป็นล็อตสุดท้ายของอินโดฯ ที่บันทึกเป็นรายได้ในไตรมาส 1/52 จากที่ข้ามมา จากที่คาดการณ์ตอนแรกว่าจะปิดทั้งหมดในปีที่แล้ว (51) และงานออสเตรเลีย 5 ล้านเหรียญสหรัฐเราเพิ่งส่งของไปแล้ว ถ้าเป็น 1 ล็อตมูลค่า 5 ล้านเหรียญฯ ถือว่าสูงมาก ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการไตรมาส 1/52 คงจะไม่ขี้เหล่เพราะบังเอิญมา 2 ตัวนี้เข้ามา" นางนภาพร หุณฑนะเสวี กรรมการ บมจ.สยามสตีล อินเตอร์เนชั่นแนล (SIAM) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"
นอกจากนี้ ในงวดไตรมาส 1/52 ยังมีรายได้จากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ภายในประเทศ เช่น งานครุภัณฑ์ที่ศูนย์ราชการที่อยู่ระหว่างการส่งสินค้า โดยมีมูลค่าเป็นไปตามที่ประเมิน 400 กว่าล้านบาท
สำหรับงานที่ออสเตรเลียนอกจากล็อตแรกที่ได้ส่งของไปแล้วปลายไตรมาส 4/51 (เม.ย.-มิ.ย.51) มูลค่ากว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 50 ล้านบาท และล็อต 2 ที่อยู่ระหว่างส่งมอบแล้ว บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าเอกชนรายอื่นๆ อีกหลายราย
"ที่ผ่านมามีภาคเอกชนหลายรายที่เข้ามาคุย แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะได้มากน้อยแค่ไหน ปริมาณที่เท่าไรหรือช่วงไหน แต่ความต้องการยังมีอยู่ต่อเนื่อง และคาดว่ามูลค่าจะมากกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขยังไม่ชัดเจนขอให้ลูกค้าค่อนข้างแน่นอนก่อน แต่มากกว่าล็อตที่ 2 แน่นอน ส่วนเจ้าเดิมตอนนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งคงต้องให้เรียบร้อยก่อนและดูว่ามีขยายเพิ่มเติมหรือเปล่า" นางนภาพร กล่าว
ส่วนไตรมาส 2/52 (ต.ค.-ธ.ค.51) คงต้องไปรอลุ้นงานที่ออสเตรเลียต่อไปว่าจะเจรจาได้หรือไม่ แต่ช่วงนี้เศรษฐกิจโดยรวมไม่ค่อยดีของขึ้นทุกอย่างวัตถุดิบก็ขึ้นไปหมด ขณะที่งบของรัฐบาลยังเป็นงบของปีก่อน ตอนนี้ธุรกิจก่อสร้างก็ถูกผลกระทบกันไปเยอะวัตถุดิบขึ้นทีเท่าตัว
"จะมีที่ขายประจำเป็นที่ญี่ปุ่นก็เป็นการขายปกติ ซึ่งการขายต่างประเทศปกติปีละประมาณ 200-300 ล้านบาท แต่ปีนี้ก็ต้องเยอะกว่าเพราะถือเป็นโครงการพิเศษที่รวมเข้าไปด้วย ถือว่าเพิ่มเติมในสัดส่วนขายต่างประเทศก็คงจะขายได้มากกว่า 300 ล้านบาทขึ้นไป"
ส่วนที่พม่าที่มีพายุนาร์กีสที่ผ่านมาเราส่งเข้าไปเล็กน้อยผ่านทาง UN แต่เป็นตัวเล็กมากไม่ได้คิดว่ามีสาระอะไรที่ขายเข้าไป
นางนภาพร กล่าวว่า งานที่รับมาของออสเตรเลียคิดไว้ที่ 30 บาท ตอนนี้เราก็จะมาได้ 34 บาท ก็พอมีกำไรตรงส่วนต่างนี้บ้าง แต่เราก็ไม่ได้คาดหวังกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอยู่ที่ว่าเราจะแปลงอัตราแลกเปลี่ยนตอนไหนแต่ก็มีทำฟอร์เวิร์ดไว้บ้างบางส่วน "เจรจาตอน 31 บาท ซึ่งประเมินว่าจะลงถึง 30 บาท และมีเผื่อไว้บ้าง แต่ตอนนี้แนวโน้มอ่อนลงมาได้ที่ 34 บาท ก็อาจจะได้ตรงนี้บ้าง ถือเป็นกำไร FX ถือว่าได้เยอะเหมือนกันช่วงหลังๆ พอดีปรับขึ้นมาค่อนข้างเร็วแต่ธุรกิจของเราไม่ได้หวังกำไรจากตรงนี้มาก" นางนภาพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทิศทางบ้านอเนกประสงค์ในต่างประเทศยังมีดีมานด์ อย่างเหมืองแร่เป็นตัวใหม่สำหรับเราซึ่งเมื่อก่อนก็คิดไม่ถึงว่าจะมีตัวนี้ด้วยก็คงต้องเจาะเข้าไปว่าจะมีที่ไหนบ้างและก็พยายามจะดูธุรกิจอื่นเพิ่มเติม โดยเฉพาะตัวบ้านที่จะไปรองรับกับธุรกิจอะไรบ้าง ซึ่งถ้าขายพวกนี้มาร์จินจะดีพอใช้ได้เพราะเป็นงาน made to order ต้องการบ้านแบบไหน ข้างในตกแต่งอย่างไร อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 20% กว่าขึ้นไป แล้วแต่ออร์เดอร์ของลูกค้าถือว่าใช้ได้เพราะมาทีมีวอลุ่มด้วย
"งานศูนย์ราชการอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 20% ซึ่งเป็นธุรกิจปกติของเรา แต่งานต่างประเทศอยู่ที่เรารับไป แต่ก็คงต้องให้เป็นราคาตลาดด้วย คู่แข่งทางออสเตรเลียที่มาซื้อกับเราบางรายก็เป็นผู้ผลิตเองก็มี บางรายก็ทำธุรกิจเหมืองซึ่งเป็นผู้ใช้โดยตรง ส่วนมากคู่แข่งเราต่างประเทศไม่ค่อยมีส่วนใหญ่เป็นต่างประเทศ อย่างล็อตที่แล้วที่ได้มาเราจะส่งมอบ 60 ล้านบาทเรื่องการติดตั้งที่ประเทศลาวมีข้อดีเรื่องการขนส่ง ใกล้กว่าจากออสเตรเลียบินมา ถ้าลาวก็เร็วกว่าและประหยัดค่าขนส่งกว่า"
ในต่างประเทศช่วงนี้ที่มีพายุเกิดขึ้นบ่อย ต้องรอว่ามีเงินบริจาคเข้ามาแล้วถึงจะเอาเงินตรงนี้เพื่อการใช้จ่าย บางทีพายุมาก็ไม่ได้ซื้อบ้านเอนกประสงค์ได้ทันทีต้องรอรวบรวมเงินก่อนเหมือนของอินโดฯคราวที่แล้วก็เป็นปีกว่าจะมาซื้อบ้านของเรา
บริษัทได้ปรับราคาขายบ้านอเนกประสงค์ไปประมาณ 5-15% แล้ว โดยปรับราคาตามต้นทุนราคาเหล็กที่ปรับขึ้นเพราะรับไม่ไหวจริงๆ ลูกค้าก็เข้าใจเพราะทุกอย่างปรับขึ้นกันหมดอย่างน้ำมันปรับขึ้นเป็นเท่าตัวเหล็กก็ปรับขึ้น 30% แต่เหล็กไม่ใช่เป็นสัดส่วนของวัตถุดิบทั้ง 100% ก็มาดูว่าเฉพาะตัวเหล็กปรับขึ้นเท่าไร และวัตถุดิบอย่างอื่นที่มีอยู่ข้างเคียงก็ปรับขึ้นด้วยก็จะปรับเฉพาะตัววัตถุดิบที่ขึ้นก็อยู่ประมาณ 5-15% ตอนนี้เป็นราคาใหม่แล้ว และงานในออสเตรเลีย ล็อต 2 ที่จะส่งมอบ 5 ล้านเหรียญสหรัฐก็ปรับราคาแล้ว ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ขายในประเทศเป็นราคา price list โดยสต็อกเหล็กปกติประมาณ 2 เดือน และซื้อเติมเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะได้เหล็กในราคาต้นทุนที่แตกต่างกัน แต่ช่วงนี้ราคานิ่งและกำลังดูทิศทางราคาเหล็กอยู่ อีก 2-3 เดือนน่าจะรู้
นางนภาพร กล่าวถึงรายได้ปี 51 คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าจากเดิมตั้งเป้าไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท คงจะใกล้เคียง (อยู่ระหว่างการปรับตัวเลขกับทางผู้ตรวจสอบบัญชี)
ขณะที่ในปีหน้า (52) อยู่ระหว่างทำ Budget กันอยู่คงต้องรอก่อน ส่วนจะมากกว่าปีนี้หรือไม่ ก็ยังไม่แน่ถ้าเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ เพราะเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าพวกโครงการอะไรถ้ายังไม่ชัดเจนก็คงไม่กล้าประมาณการออกไป เพราะอาจจะทำให้ผู้ถือหุ้นเข้าใจอะไรคาดเคลื่อน
ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นกระทบค่าขนส่งกับบริษัทบ้าง แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช้ค่าใช้จ่ายหลัก แต่ทิศทางราคาน้ำมันตอนนี้ลดลงบ้างก็หายใจหายคอได้ รวมถึงเหล็กที่ก่อนหน้านี้ปรับขึ้นค่อนข้างมากถือว่ามากจนเกินกว่าปกติ กลายเป็นเรื่องเก็งกำไรไปแล้ว โดยวัตถุดิบของเราเป็นเหล็กโคโคโลน แต่เหล็กเส้นเหล็กก่อสร้างจะปรับขึ้นก่อน แต่สักพักหนึ่งเหล็กโคโคโลนก็จะปรับขึ้นตาม แต่สัดส่วนอาจจะไม่เหมือนกัน เราก็อิงราคาจากตลาดโลก และก็พยายามคุมต้นทุนตรงนี้โดยการมีสต็อกไว้บางส่วนแต่ถ้าปรับขึ้นไปอย่างรอบที่มาขึ้นแรงจริงๆ ก็มีการปรับราคากับทางลูกค้าด้วย