ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวได้ดี
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 89.64 จุด หรือ 0.79% แตะที่ 11,502.51 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 10.15 จุด หรือ 0.80% แตะที่ 1,281.66 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 20.49 จุด หรือ 0.87% แตะที่ 2,382.46 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 819 ล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 1.55 พันล้านหุ้น
สจ๊วต ชวิทเซอร์ นักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน ไพรเวท แบงค์ กล่าวว่า "นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่ายอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 1.3%เมื่อเทียบกับเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นผลมาจากยอดสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์ธอมสัน/ไอเอฟอาร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.1%"
"ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ซึ่งรวมถึงเครื่องจักร รถยนต์ และเครื่องบิน เป็นหนึ่งในมาตรวัดสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐ เพราะสามารถสะท้อนอำนาจซื้อของภาคธุรกิจและสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ดี เมื่อยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนทะยานขึ้นเหนือความคาดหมายเช่นนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กจึงดีดตัวขานรับทันที อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้นเหนือระดับ 118 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้ช่วงบวกของตลาดถูกสกัดลง" ชวิทเซอร์กล่าว
ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้น 1.88 ดอลลาร์ แตะระดับ 118.15 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ เนื่องจากความกังวลที่ว่าพายุโซนร้อน"กุสตาฟ"จะสร้างความเสียหายต่อแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าสในอ่าวเม็กซิโกซึ่งเป็นแหล่งการผลิตน้ำมันที่สำคัญของสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดยังคงถูกปกคลุมด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของภาคการเงินในสหรัฐ หลังจากบรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐที่ประสบปัญหา หรือกลุ่ม "problem list" มีจำนวนเพิ่มขึ้น 30% เป็น 117 แห่งในไตรมาสสอง ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 90 แห่งในไตรมาสแรก และถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากอัตราการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้น
FDIC ได้เพิ่มชื่อธนาคารพาณิชย์ที่ประสบปัญหาด้านสินทรัพย์ สภาพคล่อง และการดำเนินงานที่ไม่ตรงตามกฏข้อบังคับ โดยระบุว่ามีธนาคารล้มละลาย 9 แห่งในปีนี้ รวมถึงธนาคารอินดี้แมค แบงคอร์ป ซึ่ง FDIC เข้าไปยึดกิจการและดำเนินกิจการแทน หลังจากเกิดเหตุการณ์ลูกค้าแห่ถอนเงินฝากออกจากธนาคารแห่งนี้เป็นมูลค่ากว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 11 วันทำการ ซึ่งปัจจุบันธนาคารแห่งนี้เปลี่ยนชื่อเป็น อินดี้แมค เฟดเดอรัล แบงค์ เอฟเอสบี โดยอินดี้แมคนั้นมีขนาดใกล้เคียงกับธนาคารอเมริกัน เซฟวิงส์แอนด์ โลน แอสโซซิเอชัน ออฟ สต็อกตัน แคลิฟอร์เนีย ซึ่งล้มละลายในเดือนก.ย.ปีพ.ศ.2531
หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลงเพราะถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้น โดยหุ้นนอร์ทเวสต์ แอร์ไลน์ส ดิ่งลง 8.3% หุ้นยูเอส แอร์เวย์ส ร่วงลง 11% แต่หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเทโซโรพุ่งขึ้น 11% หุ้นวาเลโร เอนเนอร์จี ดีดขึ้น 4.2%
ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยหุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นเมอร์ริล ลินช์ ดีดตัวขึ้นหลังจาก เทมาเส็ค โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นกองทุนบริหารความมั่งคั่ง (SWF) ของสิงคโปร์ ประกาศเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นในเมอร์ริล ลินช์ ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐ โดยกล่าวว่า เทมาเส็คมั่นใจในฝีมือการทำงานของนายจอห์น เธน ซีอีโอเมอร์ริล ลินช์
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--