นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อเพิ่มทุนคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 3 ปีนี้ถึงจำนวนหุ้นที่จะเพิ่มทุน
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มทุนจะแล้วเสร็จต้องขึ้นกับการอนุมัติของผู้ถือหุ้นที่จะมีการประชุมในเดือนเม.ย. 52 นี้
ปัจจุบัน หุ้นของ BJC มีฟรีโฟลตประมาณ 15% P/E 5.8 เท่า ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับ P/E กลุ่มที่สูงกว่า 10 เท่า
"หากเราแก้ปัญหาเรื่องฟรีโฟลตได้ จะทำให้หุ้นเรามีการเคลื่อนไหวและราคาหุ้นก็น่าจะมี P/E ที่สูงขึ้นใกล้เคียงกับ P/E กลุ่ม เพราะปัจจุบัน P/E เราอยู่ที่ 5.8 เท่า ถือว่าต่ำมาก และราคาหุ้น 5.25 บาทเมื่อเทียบกับหุ้นคอนซูมเมอร์อื่นก็ถือว่าถูก" นายอัศวิน กล่าว
สำหรับปีนี้ คาดว่ายอดขายจะโตไม่น้อยกว่า 10% จากปีก่อนที่ 1.92 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้มาจากการขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นและการปรับราคาขาย โดยที่ผ่านมากลุ่มบรรจุภัณฑ์มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าประมาณ 10% และอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับเพิ่มขึ้นอีกตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภค มีการปรับขึ้นราคาไปแล้ว 5-10% รวมถึงมีการปรับขนาดและรูปแบบเพื่อลดต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นอีกได้ด้วย
นอกจากนี้ บริษัทจะขยายสัดส่วนส่งออก โดยปี 51 มีสัดส่วน 5% และปี 52 มีแผนสัดส่วนส่งออกเพิ่มมากขึ้น เพราะประเทศแถบภูมิภาคนี้มีการเติบโตสูง และสินค้าบริษัทยังมีความต้องการ เช่น กระดาษทิชชู เป็นต้น
*ขยายโรงงานในเวียดนามเจาะ 3 ตลาดลาว-เขมร-เวียดนาม
นายอัศวิน กล่าวว่าบริษัทเร่งการขยายการลงทุนในเวียดนาม โดยอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนโรงงานผลิตขวดแก้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในไตรมาส 3/51 โดยเบื้องต้นคาดใช้เงินลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาท โดยแหล่งเงินจะมาจากเงินพิ่มทุนส่วนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนดังกล่าว จำเป็นต้องพันธมิตรท้องถิ่นเข้าร่วมทุนเพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่และจำเป็นต้องอาศัยการทำตลาดในประเทศ และมองงว่าจะเป็นฐานการผลิตอีกหนึ่งแห่งของ เบอร์ลี่ยูคเกอร์
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ศึกษาหลายโครงการที่จะเข้าลงทุนในเวียดนาม ได้แก่ โรงงานผลิตกระดาษทิชชู , ขนมขบเคี้ยว รวมทั้งเป็นฐานส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว และ กัมพูชา โดยบริษัทประเมินว่า ทั้ง 3 ประเทศ(ลาว, กัมพูชา และ เวียดนาม) มีประชากรรวม กว่า 100 ล้านคน
นอกจากนี้ การเข้าซื้อธุรกิจผลิตอาหารประเภทขบเคี้ยวในบริษัท เจซีฟู้ด (ถือ 100%) ทำให้มีบริษัทมีฐานการผลิตที่ได้รับการรับรองเครื่องหมายฮาลาล และมีแผนเจาะตลาดในตะวันออกกลางรวมประเทศมุสลิมในปี 52 โดยคาดว่าปีนี้ บริษัทเจซีฟู้ด มีรายได้ 200 ล้านบาท
ขณะที่โรงงานขวดแก้วที่ราษฎร์บูรณะ บริษัทเตรียมย้ายโรงงานแห่งนี้ภายใน 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากอยู่ใจกลางชุมชนที่ไม่สะดวกในการขยายกำลังการผลิต และเป็นพื้นที่ไม่เหมาะสมทำโรงงาน โดยมองว่าพื้นที่เหมาะสมจะต้องเป็นพื้นที่ที่สามารถขนส่งได้สะดวก และใกล้แหล่งพลังงานซึ่งโรงงานขวดแก้ว ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก จำเป็นต้องอยู่ใกล้ท่อส่งก๊าซ
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--