แหล่งข่าวระดับสูงจาก บมจ.เอ็ม ดี เอ็กซ์ (MDX) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์" โดยคาดว่าโครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม 3 ในประเทศลาวจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า โดยจะเริ่มก่อสร้างได้ปี 52 หลังจากมีความชัดเจนระดับหนึ่งในการลงนามบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น(MOU)ตามแผนงาน ซึ่งจะให้อีก 4-5 ปีข้างหน้า หรือประมาณ ปี 56-57 จะมีรายได้เข้ามายังบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น 27%
ทั้งนี้ บริษัท จี เอ็ม เอส ลาว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ MDX ลงนามในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นกับ Lao Holding State Enterprise ,บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) และ Marubeni Corporation เพื่อตั้งบริษัทร่วมทุนในนาม Nam Ngum 3 Power Company Limited ในประเทศลาว เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม 3
แหล่งข่าว กล่าวว่า สำหรับกรณีทึ่มีข่าวว่าทางการลาวจะทบทวนราคาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้สร้างผลกระทบให้กับโครงการให้ต้องเลื่อนออกไปแต่อย่างใด ส่วนที่มีข่าวว่าโครงการโรงไฟฟ้าลาวได้หยุดดำเนินงานเป็นการชั่วคราวเนื่องจากค่าใช้จ่ายลงทุนสูงขึ้นนั้น เชื่อว่าโครงการนี้ได้มีการประเมินเผื่อไว้แล้ว
"ยังไม่แน่ใจเพราะยังไม่ได้ทราบเรื่องตรงนี้เข้ามา เพียงแต่ทุกอย่างตอนนี้ก็เป็นไปตามเดิมที่เราประมาณการเอาไว้ ยังไม่ได้ยินเรื่องที่จะเลื่อนการก่อสร้างออกไป" แหล่งข่าว กล่าว
อนึ่ง โครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม 3 มีทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 9,000,000 เหรียญสหรัฐ มีกำลังการผลิต 440 เมกะวัตต์ ตามแผนอีก 4-5 ปีข้างหน้า หรือประมาณ ปี 56-57 จะมีรายได้เข้ามายังบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น 27% ซึ่ง จี เอ็ม เอส ลาว จะใช้เงินจากโปรเจ็คต์ไฟแนนซ์
"cash flow ในบริษัทที่ลาวมีอยู่ในระดับนี้คงยังไม่ต้องเพิ่มทุน เพราะมี cash ที่ Reserve ไว้อยู่ ในส่วนเงินกู้ที่จะต้องจัดหา" แหล่งข่าว กล่าว
ส่วน MDX ยังไม่มีโปรเจ็คต์ใหม่ในตอนนี้ยังไม่มีการลงทุนใหม่ ไม่น่าเป็นห่วงเรื่องฐานะทางการเงินอย่างที่โบรกฯประเมินแต่อย่างใด ซึ่งเราก็ขายที่ดินให้กับนิคมฯที่มีอยู่ก็ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่ม
*เดินหน้าเจรจาหาลูกค้าซื้อที่ดินในนิคมฯ แม้การเมืองป่วน
แหล่งข่าว กล่าวว่า ความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลต่อการขายในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ใน จ.ฉะเชิงเทราด้วย โดยในไตรมาส 2/51 บริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินแค่ 1.43 ล้านบาทเท่านั้น ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ 22.78 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการชะลอการตัดสินใจลงทุนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภายใต้ความไม่แน่นอนทางการเมือง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
"ในนิคมฯ ก็มีส่วน ทำให้ขายที่ดินยากขึ้นเพราะถ้าเป็นนักลงทุนก็คงต้องชะลอการตัดสินใจกันบ้าง ถ้าจะบอกว่าไม่กระทบเลย..ก็คงไม่ใช่ แต่เราก็จะพยายามขายให้ได้มากที่สุด เพราะการขายที่ไม่ได้ขายกันง่ายๆ ไม่ใช่คุยแล้วเซ็นสัญญาเลย ขั้นตอนกว่าจะเซ็นสัญญายาวนานพอสมควรในแต่ละคนที่เราคุย" แหล่งข่าว กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทก็ยังอยู่ระหว่างเจรจาขายที่ดินให้กับลูกค้าหลายราย แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะสรุปได้เพราะยังไม่แน่นอน หากสถานการณ์การเมืองในประเทศยังคงไม่สงบ ก็จะส่งผลเสียถึงภาพรวมของธุรกิจ จึงยังไม่สามารประเมินผลประกอบการในครึ่งปีหลังได้ เพราะหากคาดการณ์ไปแล้วคลาดเคลื่อนก็จะยิ่งลำบาก
"ทุกธุรกิจถ้าการเมืองเป็นอย่างนี้ ก็มีผลกับทุกธุรกิจไม่ใช่เฉพาะเรา"แหล่งข่าว กล่าว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/51 ที่ขาดทุน 8 กว่าล้านบาทถือว่าขาดทุนเล็กน้อย แต่ไตรมาส 3/51 บริษัทจะพยายามพลิกสถานการณ์ให้กลับมามีกำไรตามเป้าหมายที่จะสร้างกำไรให้ได้ทุกไตรมาส โดยรายได้หลักยังมาจากขายที่ดิน การบริหารนิคมฯ ค่าบริการสาธารณูปโภค ในอนาคตรายได้ส่วนหนึ่งจะมาจากธุรกิจไฟฟ้า
แหล่งข่าว กล่าวว่า สาเหตุที่ขาดทุนในไตรมาส 2 เป็นผสมกันระหว่างขายที่ดินได้น้อยลงและมีตัวเลขทางบัญชีที่เราต้องบันทึกเวลาที่เงินบาทอ่อนค่า ส่วนไตรมาส 3/51 ยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร เพราะยังมีการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ที่รอข้อสรุปอยู่ รายได้ทั้งปีนี้ก็พยายามทำให้ได้ตามเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 700 กว่าล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อน และเป้ายอดขายที่ดิน 50 ไร่
"อย่างน้อยเราก็พยายามจะทำให้ได้มากที่สุด ก็ยังไม่ชัวร์ เพราะก็มีเวลาให้เราทำ งวดครึ่งปีแรกขายไปได้บางส่วน แต่อาจจะไม่ได้เยอะแยะมากนัก แต่เราก็ขายได้เรื่อยๆ ส่วนเป้า 50 ไร่ ยังไงเราก็คงต้องพยายามทำให้ได้ คงไม่หนีกัน ซึ่งเราก็จะพยายามเต็มที่" แหล่งข่าว กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--