DCCรับผลดีน้ำมันลดดันกำไรขั้นต้น H2สูงกว่า 40.3%/รายได้-กำไรตามเป้าแน่

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 3, 2008 12:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายชนะ สุทธิหวังเจริญ กรรมการ บมจ.ไดนาสตี้เซรามิค(DCC)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรกที่อยู่ในระดับ 40.3% หลังจากต้นทุนสำคัญปรับตัวลดลงไปมาก โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ขณะที่ยอดขายคาดว่ายังคงดีต่อเนื่องจากผลของการส่งเสริมการขายและการส่งสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เหตุการณ์ความวุ่นวายในกรุงเทพไม่ได้ส่งผลกระทบกับบริษัทมากนัก เนื่องจากตลาดหลักอยู่ในต่างจังหวัด 
ทั้งนี้ บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้และกำไรในปี 51 น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 15-20% โดยในครึ่งปีแรกบริษัทำยอดขายได้แล้ว 2,761 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 4.5 พันล้านบาท ขณะที่กำไรก็เติบโตตามยอดขาย ซึ่งแนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นสวนทางกับทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง
"ปีนี้คาดว่าจะขายได้มากกว่า 15-20% เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว โดยจะผลิตเดือนละ 4 ล้านตารางเมตร ทั้งปีถ้าขาย 100% ก็ประมาณ 48 ล้านตารางเมตรต่อปี ด้านอัตรากำไรสุทธิปีนี้ก็จะโตตามยอดขายเป็นไปตาม trend ของยอดขาย ในแง่ต้นทุนถ้ายอดขายเพิ่มขึ้นต้นทุนลดลงกำไรก็น่าจะต้องมากขึ้น ปีนี้กำไรคงไม่กระฉูดถ้ากระฉูดต้อง 50-60% กำไรที่ขึ้น 15-20% เศรษฐกิจแบบนี้การเมืองแบบนี้ โตขนาดนี้ก็พอใจแล้ว"นายชนะ กล่าว
สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นครึ่งปีแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 40.3% ครึ่งปีหลังก็จะมากกว่านี้ เพราะต้นทุนปรับลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่มีผลต่อค่าขนส่ง และราคาวัตถุดิบทั้งหลาย หากคาดการณ์ไม่ผิดราคาน้ำมีนมีแนวโน้มลงอัตรากำไรขั้นต้นทั้งปีก็น่าจะดีขึ้นมากกว่า 40.3% แต่ถ้าผิดคาดน้ำมันเกิดตีลังกากลับมาอีก ก็อาจจะลดลงก็ได้ แต่แนวโน้มก็น่าจะดีขึ้น
อนึ่ง ไตรมาส 2/51 อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 40.5% และเฉลี่ย 6 เดือนแรกอยู่ที่ 40.3%
*ส่งเสริมการขาย-ออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง-ราคาน้ำมันลด ช่วยหนุนยอดขายครึ่งปีหลัง
นายชนะ กล่าวว่า ยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังยังน่าจะดีต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทมีรายการส่งเสริมการขายจนถึงสิ้นปีนี้ โดยล่าสุด บริษัทจัดงานครบรอบ 10 ปีตลาดนัดไดนาสตี้ ด้วยการจัดโปรโมชั่นทั้งลด-แลก-แจก-แถม เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดจำหน่ายด้วย ขณะที่ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงทำให้บริษัทสามารถตรึงราคาขายได้ต่อไป ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมไม่เอื้อ ซึ่งปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยมีตั้งแต่ 100 บาทต้นๆ/ตร.ม.ไปจนถึง 200 บาท/ตร.ม.
ส่วนการเมืองที่วุ่นวายในกรุงเทพไม่กระทบกับยอดขาย เพราะตลาดหลักของบริษัทอยู่ในต่างจังหวัด และบริษัทเน้นขายในประเทศเป็นหลัก โดย DCC มีมาร์เก็ตแชร์ในประเทศเป็นอันดับ 1 ที่ระดับ 32-33%
"ถ้าน้ำมันราคาลดลงต้นทุนก็ลดลงอยู่แล้ว ครึ่งปีหลังแม้ว่าสถานการณ์ทั่วไปจะไม่ค่อยดีทั้งความวุ่นวายการเมืองเศรษฐกิจต่างๆ ภาพรวมไม่ค่อยดี แต่เรามีเรื่องของการส่งเสริมการขายเข้ามาช่วย...หลังมีส่งเสริมการขาย ยอดขายที่เพิ่มขึ้นตั้งเยอะแยะ สามารถล่อใจได้และมีทั้งของแจก ของแถมต่างๆ งบไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น"นายชนะ กล่าว
นายชนะ กล่าวว่า ปีนี้ยังไม่มีการเพิ่มกำลังการผลิตเพราะยังใช้กำลังการผลิตไม่เต็ม 100% จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่ถึงกับว่าดีมาก และยังมีโรงงานคู่แข่งที่ผลิตกันได้เต็มที่อยู่แล้ว ทำให้บางเดือนบริษัทผลิตในระดับ 80-90% บางเดือน 100% ถ้าเป็น season ต้นปีก็จะผลิต 100% ก็อาจจะไม่พอขาย มาช่วงกลางปีเป็นหน้าฝนเป็นช่วงที่ low season ก็อาจจะผลิตแค่ 80-90%
ไตรมาส 4/51 อาจจะผลิตมากเต็มที่ราว 4 ล้านตร.ม./เดือน ซึ่งแล้วแต่ season และแล้วแต่ดีมานด์
ปีหน้าจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 100% หรือไม่ คงต้องดูภาพรวมเศรษฐกิจปีหน้าแนวโน้มจะดีขึ้นหรือไม่ หากภาวะโดยรวมเอื้อก็คงจะสามารถผลิต 100% ทุกเดือน เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจจะหาทางเพิ่มกำลังการผลิต
ทั้งนี้ บริษัทยังมีการผลิตสินค้าออกใหม่ทุกเดือน เพราะกระเบื้องเป็นแฟชั่นต้องออกใหม่ทุกเดือน เดือนละ 5-10 ลาย ซึ่งขณะนี้ DCC เป็นผู้นำแฟชั่นลวดลายใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ลูกค้ารายใหญ่เป็นหน่วยงาน รวมถึงผู้ที่ซ่อมแซมบ้านเพราะกำลังซื้อมากขึ้น แต่ลูกค้าโครงการใหม่มีน้อยจากผลกระทบการเมือง
*ตั้งเป้าจ่ายปันผลงวดปี 51 ไม่ต่ำกว่าปีก่อน ตามผลประกอบการที่ดีขึ้น
นายชนะ กล่าวว่า บริษัทยืนยันว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลในระดับ 75% ของกำไรสุทธิ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็จ่ายไม่ต่ำกว่า 70% ซึ่งทุกไตรมาสที่ผ่านมาก็สามารถจ่ายได้ในระดับ 75% ดังนั้น เงินปันผลปีนี้ต้องดีกว่าปีที่แล้ว ตามแนวโน้มยอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้น
อนึ่ง ไตรมาส 2/51 DCC ปันผลระหว่างกาลอัตรา 0.30 บาท/หุ้น จากกำไรสุทธิ 166.58 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าหุ้น DCC ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง เพราะผู้ถือหุ้นถือเก็บไว้เพื่อรอรับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ได้รับราว 7.5% ได้ทุกไตรมาส สูงกว่าผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากที่ปัจจุบันอยู่ในระดับไม่ถึง 4% ทำให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ไม่คิดจะขายหุ้นให้กับใคร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ