ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (3 ก.ย.) หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนีดีดตัวขึ้นไม่มากนักเนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่มีท่าทีระมัดระวังก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรในวันศุกร์นี้
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 15.96 จุด หรือ 0.14% แตะที่ 11,532.88 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 2.60 จุด หรือ 0.20% แตะที่ 1,274.98 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 15.51 จุด หรือ 0.66% แตะที่ 2,333.73 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.2 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 16 ต่อ 15 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.12 พันล้านหุ้น
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ที่ร่วงลงไปอีก 36 เซนต์ แตะที่ 109.35 ดอลลาร์/บาร์เรล และจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดสั่งซื้อของโรงงานอุตสาหกรรมภายในประเทศปรับตัวขึ้น 1.3% ในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์ธอมสัน ไฟแนนเชียล/ไอเอฟอาร์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.8%
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายค่อนข้างซบเซาเนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่มีท่าทีระมัดระวังก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non farm payroll) ประจำเดือนส.ค.ในคืนวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนส.ค.สหรัฐจะร่วงลง 75,000 อัตรา ซึ่งจะเป็นสถิติที่ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 และคาดว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะทรุดตัวลง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงอย่างมาก
โจชัว ชาปิโร นักวิเคราะห์จาก Maria Fiorini Ramirez Inc. ในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า จำนวนคนว่างงานที่เพิ่มขึ้น ราคาบ้านที่ทรุดตัวลง ความยากลำบากในการขอวงเงินสินเชื่อ และราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ชาวอเมริกันลดการใช้จ่ายลง ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
"ตัวเลขจ้างงานจะร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากภาคธุรกิจลดการจ้างงานเพราะแรงกดดันรอบด้าน ขณะที่ภาคการผลิตซึ่งได้รับแรงหนุนจากการส่งออก ก็จะชะลอตัวลงด้วยเนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจซบเซาลง" ชาปิโรกล่าว
ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.ค.ร่วงลง 51,000 อัตรา ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับ 5.7% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2547 สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากภาวะผันผวนในตลาดการเงินซึ่งมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากวิกฤติซับไพรม์ในสหรัฐ รวมถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่อ่อนแอลงและราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้น
โยเซฟ แบตติพาเกลีย นักวิเคราะห์จากบริษัท Ryan Beck & Co. แสดงความเห็นว่า "แม้ราคาน้ำมันที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ แต่นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งกลับไม่แสดงปฏิกริยาในด้านบวก เพราะมองว่าราคาน้ำมันที่ร่วงลงสะท้อนถึงความต้องการพลังงานที่ลดลง ซึ่งเป็นเป็นผลพวงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย"
หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยหุ้นแอมแบคซึ่งเป็นบริษัทประกันหุ้นกู้รายใหญ่ของสหรํฐ ดีดตัวขึ้น 22.4% หุ้นเฟรดดี แมค พุ่งขึ้น 3.9% ส่วนหุ้นเลห์แมน บราเธอร์ส พุ่งขึ้น 5% หลังจากมีข่าวว่าเลห์แมน บราเธอร์ส กำลังเจรจาขายหุ้น 5% ให้กับธนาคารของเกาหลีใต้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--