บอร์ด SPALI อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงินไม่เกิน 300 ลบ. หรือคิดเป็น 7.27%

          บมจ. ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน วงเงินสูงสุดที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืน 300 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็นร้อยละ 7.27 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประทศไทยเสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป
          ทั้งนี้ กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2551 ถึงวันที่ 17 มีนาคม 2552 หรือ ระยะเวลา 6 เดือน โดยราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันก่อนวันที่บริษัทจะทำการเปิดเผยข้อมูลเท่ากับ 2.90 บาทต่อหุ้น
           เหตุผลในการซื้อหุ้นคืน เนื่องจาก ราคาตลาดที่เป็นอยู่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ฯ มาก  รวมทั้ง เป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัท ฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ,เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและเพิ่มอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น และ  เพื่อสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัท ฯ ที่มั่นคง
          อย่างไรก็ตาม โครงการซื้อหุ้นคืนอาจกระทบผู้ถือหุ้นที่จะมีจำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดลง ขณะที่ ทำให้ได้รับเงินปันผลในอัตราที่สูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่ซื้อคืนจะไม่ได้สิทธิในการรับเงินปันผลและทำให้อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น และทำให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพ
          ส่วนผลกระทบกับบริษัท ทำให้ปริมาณเงินสดในมือลดลง , ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง และ กำไร/ขาดทุน จากการซื้อขายหุ้นที่ซื้อคืนจะมีผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
          ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท ฯ อาจพิจารณาจำหน่ายหุ้นซื้อคืน โดยขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในขณะนั้น สำหรับระยะเวลาการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน บริษัทฯ สามารถดำเนินการเมื่อพ้นกำหนด 6 เดือน นับแต่การซื้อหุ้นคืนเสร็จสิ้นโดยขายคืนภายใน 3 ปี โดยหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาที่จะจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 85 ของราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้า
          ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2551 บริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 1,651,525,324 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,651,525,324 หุ้นมูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1.00 บาท โดยผู้ถือหุ้นสามัญรายย่อย (Non Strategic Shareholder)  ถือจำนวน  1,216,600,274   หุ้น คิดเป็น  73.67% และ ผู้ถือหุ้นที่เป็น Strategic Shareholder จำนวน 434,922,400  หุ้น คิดเป็น  26.33%