นายวิวัฒน์ เตชะพูนผล หัวหน้าฝ่ายลูกค้าส่วนบุคคล บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3/51 ตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่ภาวะต่ำสุด หุ้นจะลงไปแตะระดับต่ำสุด 580 จุด จากปัญหาการเมืองในประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประสบภาวะสถาบันการเงินปิดดำเนินกิจการจากผลกระทบของปัญหาซับไพร์ม
"จะมีสถาบันการเงินของสหรัฐฯหลายแห่งที่จะเจ๊ง จะมีการประกาศรายชื่อแบงก์ที่ปิดดำเนินงานรายสัปดาห์ หุ้นไทยก็ได้รับผลกระทบด้วย โดยใน 1-2 เดือนนี้คาดว่าต่างชาติจะเทขายออกมาอีก 2 หมื่นล้านบาท"นายวิวัฒน์ กล่าว
สำหรับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ เชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง แต่จะใช้วิธีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งภายหลังการยุบสภาเชื่อว่าตลาดหุ้นอาจจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 30-40 จุดในระยะ 1-2 วัน หลังจากนั้นก็จะปรับลดลงต่อเนื่อง
ส่วนในเดือน ต.ค.เชื่อว่าจะเป็นจังหวะที่ดีของการเข้าสะสมหุ้นของนักลงทุน เพื่อรอการปรับตัวขึ้นในช่วง January Effect ในช่วงต้นปี 52 โดยหุ้นที่น่าสนใจยังคงเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น KBANK, SCB, BANPU รวมทั้ง TUF และ CPF ซึ่งเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและพลังงานในช่วงไตรมาส 3/51 จะมีผลประกอบการต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ เนื่องจากหุ้นเหล่านี้จะได้รับผลกระทบในทางลบจากราคาน้ำมันที่ลดลง และอาจจะประสบผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ดังนั้น ให้ระมัดระวังหุ้นกลุ่มนี้ไว้ก่อน แต่หุ้นเหล่านี้อาจจะได้ประโยชน์ในช่วงสั้น หากมีการยุบสภา โดยแนะให้เก็บหุ้น BANPU, PTT, PTTEP
นายวิวัฒน์ ประเมินว่าราคาน้ำมันในระยะต่อจากนี้ เชื่อว่าจะทรงตัวอยู่สูงกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวลดลงเข้าสู่จุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 1/52 โดยประมาณการว่าจะอยู่ที่ระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(GDP)อาจจะได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองภายในประเทศทำให้ภาคการส่งออกชะลอตัวแต่เชื่อความต้องการในประเทศยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้น คงเป้าหมาย GDP ปี 51 ที่ 5.2% แม้จะคาดว่าว่าในไตรมาส 3/51 อาจจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 4.7% และไตรมาส 4/51 ขยายตัวที่ 4.9%
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/นิศารัตน์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--