ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กวิตกตัวเลขจ้างงานสหรัฐ ฉุดดาวโจนส์ปิดร่วง 344.65 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 5, 2008 06:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (4 ก.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขว่างงานรายสัปดาห์ที่พุ่งขึ้นเกินคาด ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non farm payroll) ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์นี้ จะร่วงลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 344.65 จุด หรือ 2.99% แตะที่ 11,188.23 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดร่วง 38.15 จุด หรือ 2.99% แตะที่ 1,236.83 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 74.69 จุด หรือ 3.20% แตะที่ 2,259.04 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.3 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 5 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.3 พันล้านหุ้น
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลงทันทีหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐายงานว่า ตัวเลขชาวอเมริกันที่ขอเข้ารับสวัสดิการในระหว่างว่างงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้น 15,000 ราย ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่รายงานของ ADP Employer Services ระบุว่า นายจ้างภาคเอกชนปรับลดตำแหน่งงานลง 33,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค.
เคร็ก เพ็คแฮม นักยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนจาก Jefferies & Co. กล่าวว่า "ข้อมูลด้านแรงงานเบื้องต้นส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกในตลาด เพราะนักลงทุนเกรงว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้นั้น จะทรุดตัวลงด้วย ซึ่งข้อมูลด้านตลาดแรงงานเป็นหนึ่งในข้อมูลที่สามารถชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจของสหรัฐได้เป็นอย่างดี"
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนส.ค.ของสหรัฐจะร่วงลง 75,000 อัตรา ซึ่งจะเป็นสถิติที่ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ทั้งนี้ จำนวนคนว่างงานที่เพิ่มขึ้น ราคาบ้านที่ทรุดตัวลง ความยากลำบากในการขอวงเงินสินเชื่อ และราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ชาวอเมริกันลดการใช้จ่ายลง ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.ค.ร่วงลง 51,000 อัตรา ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับ 5.7% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2547 สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากภาวะผันผวนในตลาดการเงินซึ่งมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากวิกฤติซับไพรม์ในสหรัฐ รวมถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่อ่อนแอลงและราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้น
บริษัท ออโต้ดาต้า คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านยานยนต์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในสหรัฐเดือนส.ค.ร่วงลง 15.5% จากปีที่แล้ว แตะที่ 1,249,793 คัน นับเป็นสถิติที่อ่อนตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 เนื่องจากราคาน้ำมันแพงขึ้นและเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง โดยยอดขายของจีเอ็มร่วงลงถึง 20.1% แตะ 305,782 คันในเดือนส.ค. ยอดขายของค่ายไครส์เลอร์ร่วงลงถึง 34.5% แตะที่ 110,235 คัน และยอดขายของค่ายฟอรด์ดิ่งลง 25.5% แตะที่ 150,448 คัน
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงหลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทจัดการกองทุนชื่อดัง บิล กรอส แสดงความเห็นว่ากระทรวงการคลังสหรัฐควรอัดฉีดเงินทุนใหม่ๆเพื่อพยุงกิจการของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ส่งผลให้หุ้นแฟนนี เม ร่วงลง 5.6% หุ้นเฟรดดี แมค ดิ่งลง 8.9% หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 7.2% หุ้นซิตี้กรุ๊ปร่วงลง 6.7% และหุ้นอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (AIG) ร่วงลง 6%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ