โบรกเกอร์มองตลาดหุ้นไทยน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4/51 และแนะจังหวะเข้าซื้อ หวังสถานการณ้บ้านเมืองน่าจะหาทางออกได้แล้ว และดัชนีลงไปต่ำสุด เตือนให้ระวังปัจจัยนอกประเทศทั้งซับไพร์มในสหรัฐ การชะลอเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรป ส่งผลกระทบไปถึงการเติบโตเศรษฐกิจในเอเชีย และคาดในครึ่งปีหลัง GDP ชะลอจากครึ่งปีแรกเป็นแรงฉุดตลาดหุ้นอาจลงยาวไปถึงกลางปี 52 ช่วงนี้เลี่ยงลงทุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบการเมืองเป็นด่านแรก
นายเกียรติก้อง เดโช ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาการลงทุน บล. ซิกโก้ คาดว่าสถาบัน S&P อาจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลงจาก BBB + มาเป็น BBB หากสถานการณ์ทางการเมืองไม่สามารถหาข้อสรุปได้
อีกทั้งหากการประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการฉุกเฉินในกทม.ลากยาวก็จะส่งผลกระทบความเชื่อมั่นให้ถดถอยลง การลงทุนก็อาจชะงักไปอีก ซึ่งก็จะเป็นประเด็นกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้โดยประเมินดัชนี SET จากนี้ จนถึงกลางเดือนก.ย.ทื่ 630 จุด นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบต่อหุ้น IPO อาจต้องเลื่อนออกไป
"ประเด็นหลักตอนนี้คือการเมืองที่ทำให้คนชะงัก อยากให้จบโดยเร็วเพราะทำให้เกิดผลกระทบแล้วทั้งในด้านธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมที่มีการยกเลิก และหากตราบใดที่การเมืองยังไม่มีบทสรุปบรรยากาศก็คงจะไม่ดีเป็นเรื่องปกติ การหวังที่หุ้นจะปรับขึ้นก็ยากเหมือนกันแม้จะอยู่ภายใต้ที่ PE ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคแต่ราคาหุ้นเราก็มีราคาต่ำซึ่งเหมาะกับการที่จะซื้อเพื่อถือลงทุนในระยะยาว “ นายเกียรติก้อง กล่าวในงานสัมมนา"เจาะลึกเศรษฐกิจค้นหุ้นเด่น"
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าในช่วงไตรมาส 4/51 สถานการณ์ทุกอย่างจะกลับมาในทิศทางที่ดี รวมถึงดัชนี SET จะกลับไปมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังการเมืองมีบทสรุป และประเมินว่ามูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยจะกลับมาที่เฉลี่ย 1.2 หมื่นล้านบาท/วัน เนื่องจากเป็นจังหวะที่ต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนเพื่อซื้อเก็บในช่วงปลายปีก่อนหยุดยาว และราคาน้ำมันอาจกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่คงปรับตัวไม่แรงเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา เพราะการปรับตัวในครั้งนี้จะเกิดจากปิดซ่อมของโรงกลั่นและการ STOCK น้ำมันไว้ใช้ในช่วงฤดูหนาว
นายเกียรติก้อง กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแนะนำลงทุนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อย เช่น พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์บางตัว ขณะเดียวกันให้ระวังราคาคอมมูนิตี้ที่อาจปรับตัวลงแรงโดยเฉพาะสินค้าหนักควรหลีกเลี่ยง แต่สินค้าประเภทถ่านหินสามารถลงทุนได้เพราะความผันผวนต่ำ ความต้องการที่ยังมีมากโดยเฉพาะประเทศจีนที่เห็นได้จากการเพิ่มภาษีการส่งออกถ่านหินจาก 5% เป็น 10%
ด้าน น.ส.วิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า การที่รัฐบาลมีมติให้ทำประชามติหาทางออกทางการเมืองส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเริ่มเห็นทางออก ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาบ้าง โดยจุดเหมาะสมในการลงทุนอยู่โดยแนวรับที่ 600-620 จุด ซึ่งเป็นจุดที่ความเสี่ยงน้อย คือ P/E ตลาดอยู่ที่ระดับ 10 เท่า
พร้อมแนะนำจังหวะซื้อเป็นช่วงไตรมาส 4/51 โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจในการลงทุนคือหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ อาทิ HANA เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/51 น่าจะเติบโตจากไตรมาสก่อนและถือว่าเป็นไตรมาสที่โดดเด่น ประกอบกับเงินดอลลาร์อ่อนค่าส่งผลดีทำให้ผลประกอบการมีทิศทางที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นกลุ่มสื่อสาร อาทิ ADVANC และ DTAC เนื่องจากผลประกอบการในไตรมาส 4/2551 เป็นช่วง High season แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 3/51 จะไม่ดีนักแต่หุ้นกลุ่มสื่อสารเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด รวมทั้งหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าผลประกอบการจะโตต่อเนื่อง
แนะนำ BAY KBANK และ BBL แต่กลุ่มที่ระมัดระวังจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ คือกลุ่มพลังงาน อาทิ PTT, PTTEP, BANPU แม้ว่าจะมี Upside ก็ตาม แต่มีความผันผวนจากราคาน้ำมันดิบ และการเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติที่ปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้
*มองจี GDP ไทยครึ่งปีหลังชะลอตัวเหลือ 3.8% กดดันดัชนีหุ้น
นส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์ดเตอร์ด คาดว่า ในช่วงครึ่งปีหลังอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ(GDP)ในช่วงครึ่งปีหลังจะลดลงเหลือเพียง 3.8% ต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่อยู่ในระดับ 5.7% ทำให้คาดว่า GDP ทั้งปีจะเติบโตเพียง 4.7% รวมทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียจะชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลังเช่นเดียวกัน
เนื่องมาจากภาคการส่งออกชะลอตัวจากการที่ประเทศสหรัฐและยุโรป เศรษฐกิจชะลอตัวลดการนำเข้าสินค้าจากปัญหาซับไพร์ม โดยการส่งออกของทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ลดลงตั้งแต่ไตรมาส 2/51 นอกจากนี้จะได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากราคาน้ำมันและสินค้าคอมมูนิตี้ที่ราคาปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจะส่งผลกระทบต่อเนื่อง มายังช่วงครึ่งปีหลังด้วย และจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลให้ค่าเงินบาทในภูมิภาคเอเชียอ่อนตัวลงด้วย โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าถึง 35.50 บาท/ดอลลาร์
ขณะเดียวกันการที่ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดอย่างต่อเนื่องนั้น มองว่ายังไม่เข้าสู่จุดต่ำสุดในระยะ 1-2 เดือนยังคงทำจุดต่ำสุดใหม่อีกหลายรอบซึ่งจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2551 ทำให้หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคการลงทุนของภาคเอกชนและการบริโภคของประชาชนเนื่องจากปัญหาเงินเริ่มลดลงคาดว่าในปี 52 จะมีหลายประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยประเทศไทยคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 52 ซึ่งจะลดลงประมาณ 0.50%
ทั้งนี้หลังตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปัจจุบันคาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องถึงครึ่งปีแรกของปี 52 และจะกลับมาดีอีกครั้งในครึ่งปีหลังของปีหน้า หากต้องการลงทุนแนะนำให้ลงทุนในพันธบัตรเพราะจะได้รับผลตอบแทนดีเมื่อดอกเบี้ยปรับตัวลดลง
ส่วนนางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ซึ่ง GDP ทั่วโลกในครึ่งปีหลังน่าจะชะลอตัวจากครึ่งปีแรก เนื่องจากปัญหาซับไพร์ม ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยลบจากในประเทศ โดยเฉพาะการเมืองที่ยังไม่มีทีท่าจะจบและยังไม่เห็นรูปแบบที่จะยุติ
อย่างไรก็ตามภายใต้สถานกาณ์ดังกล่าวที่กดดันอยู่ก็ถือเป็นจังหวะการลงทุนในหุ้นที่ราคาต่ำเพราะบางตัวต้นทุนแพงกว่าราคา หุ้นที่แนะนำกลุ่มธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีจำเป็น ผลประกอบการสามารถเติบโตได้จากสาขาเดิมและจากการขยายสาขาใหม่ หุ้นกลุ่มเดินเรือ เนื่องจากเป็นช่วง bottom เป็นจังหวะเหมาะเข้าสะสม และกลุ่มสื่อสารเนื่องจากเริ่มเห็นความชัดเจนสำหรับ 3G ประกอบกับ ระบบ 3G มีบริการเสริมเป็นจำนวนมาก ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายเพิ่มขึ้นได้
หุ้นที่แนะนำหลีกเลี่ยง คือ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โรงพยาบาล และอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากการเมืองที่เกิดขึ้นในด่านแรก ๆ
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/เสาวลักษณ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--