นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา(CENTEL)กล่าวว่า เหตุความวุ่นวายทางการเมืองทั้งการประท้วงและปิดสนามบิน ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย โดยเสียรายได้จากการที่นักท่องเที่ยวยกเลิกการเดินทางเพียง 1 ล้านบาทจากทั้งเครือ
ส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ โรงแรมที่ จ.กระบี่ที่มีการปิดสนามบินกระทบประมาณ 4-5 แสนบาท ด้าน จ.ภูเก็ตได้รับผลกระทบเล็กน้อย เนื่องจากเป็นการขายผ่านเอเย่นต์อยู่แล้ว
"ภาพรวมภาคใต้ได้รับผลมากที่สุด ประมาณ 1 ล้านบาท"นายสุทธิเกียรติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักธุรกิจเชื่อว่ากรณีการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน น่าจะกระทบต่อภาคธุรกิจในช่วงสั้น ๆ เท่านั้น และปัญหาน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เพราะรัฐบาลก็เร่งแก้ปัญหาอยู่แล้ว ในระยะยาวเชื่อว่าปัญหาจะไม่ยืดเยื้อ ยกเว้นว่าจะเกิดความรุนแรงถึงขั้นนองเลือด
และจากการที่ไปสำรวจตลาดที่ทวีปยุโรป ทั้งประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และสวีเดน ยังพบว่า ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ในเอเชียที่ชาวยุโรปต้องการมาท่องเที่ยวพักผ่อน เนื่องจากมีความสะดวกสบายและประหยัดมากกว่าหลายประเทศ
"ผมในฐานะนักธุรกิจอยากให้ปัญหาการเมืองคลี่คลายโดยระบอบประชาธิปไตย เมื่อประชาชนเลือกเสียงข้างมากเลือกรัฐบาลนี้เข้ามา ก็ควรให้โอกาสในการทำงาน และทางออกทีดีที่สุด พวกที่ออกมาประท้วงควรรอให้มีการเลือกตั้งใหม่ และลงสมัครผู้แทนฯ เพื่อให้ประชาชนเลือกเข้ามามากกว่าจะมาใช้วิธีการประท้วงอย่างนี้"นายสุทธิเกียรติ กล่าว
สำหรับไตรมาส 4/51 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นนั้น โดยส่วนตัวมั่นใจว่าจะไม่กระทบ เพราะขณะนี้โรงแรมในเครือเซ็นทรัลมียอดจองล่วงหน้าเข้ามาแล้ววกว่า 70% และยังไม่มีการยกเลิก ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจะกระทบยาวถึงปี 52 หรือไม่ ต้องประเมินอีกครั้งในช่วงต้นปี
นายสุทธิเกียรติ กล่าวต่อว่า แม้ว่ากองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราจะเปิดขายในช่วงที่เหตุการณ์ทางการเมืองไม่ปกติ แต่มั่นใจว่ากองทุนจะขายหมดทั้งจำนวน เนื่องจากมีการการันตีผลตอบแทน 9% ต่อเนื่อง 4 ปี ซึ่งไม่มีกองทุนไหนที่ให้ผลตอบแทนขนาดนี้ และสินทรัพย์ในกองทุน คือ โรงแรมเซ็นทาราบีช รีสอร์ท สมุย มีผลตอบแทนดีมาตลอด มียอดเข้าพักเฉลี่ยสูงกว่า 80%
ด้านนายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายบริหารและการเงิน CENTEL กล่าวว่า กองทุนฯ นี้จะเปิดขายระหว่างวันนที่ 8-18 ก.ย.และจะจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนในวันที่ 25 ก.ย. และจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดในช่วงต้นต.ค. มูลค่ากองทุนอยู่ที่ 3.2 พันล้านบาท โดยจะแบ่งขายนักลงทุนสถาบัน 2 พันล้านบาท และประชาชนทั่วไป 1 พันล้านบาท
"สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทที่ตั้งเป้าจะเติบโต 16-20% เพราะครึ่งแรกรายได้โตกว่า 20% แล้ว"นายรณชิต กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--