บมจ.ไทยฮา(KASET)คาดรับผลดีบาทอ่อนทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ยอดขายยังไม่มีผลกระทบแม้มีปัญหาทางการเมือง คุยแม้ในช่วงเดือนก.ย.ที่เป็นช่วง Low season แต่บริษัทมีออร์เดอร์เข้ามาเต็มแล้ว แต่จะปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มอีกหรือไม่คงต้องรอดูงบ Q3/51 ออกมาก่อน ส่วนการขายหุ้นเพิ่มทุน PP ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน รอเหตุการณ์ทางการเมืองสงบก่อนได้
นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KASET กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า สถานการณ์เงินบาทที่อ่อนค่าจากปัจจัยต่างประเทศและได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในขณะนี้ เป็นปัจจัยบวกต่อบริษัท เนื่องจากทำให้มีโอกาสมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยในช่วงปลายเดือนก่อนบริษัทรับออเดอร์เป็นค่าเงินบาทใน rate หนึ่ง แต่ขณะนี้ rate เงินบาทอ่อนค่าลงมา
"ถ้าดูอย่างนี้ ถ้าไม่ถึงกับอ่อนแล้วไม่มีเสถียรภาพ ถ้าเป็นอ่อนแบบมีเสถียรภาพ ทางแบงก์ชาติดูแลอยู่น่าจะดีต่อพวกที่ใช้ local content"นายสมฤกษ์ กล่าว
ส่วนปัญหาสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ ยังไม่มีผลกระทบต่อยอดขาย เพราะยังขายสินค้าได้ดี ไม่มีลูกค้าขอยกเลิกคำสั่งซื้อ รวมถึงลูกค้าในต่างประเทศด้วย นอกจากนั้น ในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งปกติเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่ขณะนี้ก็มีคำสั่งซื้อเข้ามาเต็มที่แล้ว แต่บริษัทยังไม่ปรับเพิ่มเป้าหมายปีนี้ เพราะจะขอรอดูความชัดเจนหลังจากประกาศงบไตรมาส 3/51 และทั้งปริมาณผลผลิตภาคเกษตรในช่วงไตรมาส 4/51 ว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนหรือไม่ เนื่องจากช่วงปลายไตรมาส 3 เป็นฤดูมรสุม
อนึ่ง ปีนี้บริษัทวางเป้าไว้รายได้เติบโตจากปีก่อนราว 40% มาอยู่ที่ 2,250 ล้านบาท
"ไตรมาส 3 อย่างเดือนก.ย.ถือว่ายอดขายเข้ามาดี ออร์เดอร์เต็มแล้ว เป้าหมายทั้งปี 2,250 ล้านบาทยัง on อยู่ ส่วนจะปรับเป้ายอดขายปีนี้เพิ่มหรือไม่ ต้องรอเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทสำหรับงบการเงินไตรมาส 3/51 ก่อน เพราะยังไม่เห็นงบฯรวมของไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 จะเป็นอย่างไร แต่คิดว่าเป้าหมายนี้ก็เอื้อมแล้วเหมือนกัน ถือว่าท้าทาย"นายสมฤกษ์ กล่าว
สำหรับแผนเพิ่มกำลังการผลิต 30% จากเดิม 2 แสนตัน/ปี เพื่อให้เพิ่มเป็น 2.7 แสนตัน/ปีในปีหน้า แต่ปีนี้ก็จะค่อยๆ ทยอยทำ ในแง่ของวอลุ่มจะส่งผลดีด้วยเช่นกัน เพราะต้นทุนของการผลิตก็จะลดลงเรื่อย ๆ น่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้สูงขึ้นเป็น 14-16% ในส่วนของข้าว จากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 11-12%
"อัตรากำไรขั้นต้นในส่วนของข้าวปีที่แล้ว 11-12% ปีนี้คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ 14-16% แต่ปีหน้าถ้าเพิ่มกำลังการผลิตแต่ฟิกคอร์สเท่าเดิมค่าใช้จ่ายลดลง อัตรากำไรขั้นต้นก็จะเพิ่มขึ้น ตรงนี้ก็จะเป็นตัวแปรที่สำคัญ เราก็ดูในไตรมาส 3"นายสมฤกษ์ กล่าว
*ปี 52 เน้นเพิ่มสัดส่วนอาหารกึ่งสำเร็จรูป มาร์จินดี-อัตราเติบโตที่สูง
นายสมฤกษ์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนงานจะเน้นสัดส่วนรายได้จากอาหารกึ่งสำเร็จรูปให้มากขึ้นในปี 52 เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมาร์จินดีและมีอัตราการเติบโตสูงมาก
"เราก็เกลี่ยไปทางนี้เยอะขึ้นให้ความสำคัญมากขึ้น เพื่อขยายและ market price ของเค้าเองในประเทศก็ใหญ่พอสมควร และก็จะมีช่องทางที่จะเข้าไปในตลาดต่างๆได้ดีขึ้น"นายสมฤกษ์ กล่าว
ล่าสุด บริษัทได้กระจายช่องทางจำหน่ายเข้าไปในร้านค้าปลีกทุกระดับ ตั้งแต่ร้านซาปั๊ว มินิมาร์ท ร้านชำ คาดว่าปีนี้จะเพิ่มร้านค้าที่เป็นร้านเล็กๆ ประมาณ 2 หมื่นร้าน โดยมีพันธมิตรเข้าไปช่วยกระจายสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย และปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4-5 หมื่นร้าน ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดของสินค้ากึ่งสำเร็จรูปหลัก คือ โจ๊ก ขยายตัวได้เป็น คูณ 2 หรือ คูณ 3 ได้
และเรื่องข้าวในต่างประเทศก็ยังไปได้ดีทุกกลุ่มสินค้า ผลิตภัณฑ์วุ้นเส้นก็เติบโตได้ดี ทั้งที่มีการปรับขึ้นราคา แต่ผู้บริโภคก็ยังยอมรับราคาใหม่ได้ โดยขณะนี้ราคาอยู่ในระดับสูงสุดของตลาดแล้ว ขณะที่ปริมาณการขายยังเติบโตต่อเนื่อง 20-30% หลังจากนี้ยังจะไม่เพิ่มราคาอีก โดยปรับมา 20% แล้วก็ยังเป็นที่ต้องการของลูกค้าและคำสั่งซื้อเท่าเดิม ซึ่งปกติอย่างนี้ตัวเลขสั่งซื้อต้องลดลงแน่ แต่ของเรายังเพิ่มขึ้น 20-30% ได้
*ราคาข้าวตลาดโลกทิศทางยังปรับขึ้น
นายสมฤกษ์ กล่าวว่า ทิศทางราคาข้าวในตลาดโลกแนวโน้มยังปรับขึ้นได้อีก เพราะสต็อกโลกยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ จะเห็นว่าสัปดาห์ก่อนราคาข้าวปรับขึ้นมามาก อย่างในตลาดชิคาโกของสหรัฐข้าวขาวปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 ดอลลาร์ จาก 17 เหรียญฯสหรัฐขึ้นมาเป็น 20 เหรียญฯสหรัฐเลย หรือประมาณ 5-6% เพราะมีเรื่องพายุกุสตาฟเข้ามาและมีน้ำท่วมใหญ่ในอินเดีย ส่งผลทางจิตวิทยาทันที นอกจากนั้นยังเป็นช่วงมรสุมของหลายๆ ประเทศมีโอกาสเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอยู่
"ราคาข้าวสัปดาห์ก่อนปรับขึ้นมาค่อนข้างแรงประมาณ 5% ทั้งข้าวนึ่ง ข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ แค่สัปดาห์เดียวสะท้อนเห็นว่าไม่ใช่คนไม่กลัว แต่เวลาแกว่งบางคนบอกว่าเป็นขาลง ตรงนี้ถ้าธรรมชาติเกิดภัยพิบัติคนก็จะตกใจ ราคาก็ปรับขึ้น โดยข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 890 ดอลลาร์ต่อตันขึ้นมาทีเดียวประมาณ 30-40 เหรียญฯ เป็น 930 ดอลลาร์ ข้าวขาวจาก 700 ดอลลาร์ปลายๆ ขึ้นมาแถว 800 ดอลลาร์ต้นๆทันที"นายสมฤกษ์ กล่าว
ส่วนครึ่งปีหลังยังต้องรอดูไตรมาส 4/51 ซึ่งคาดว่าสต็อกโลกยังมีไม่มาก เป็นโอกาสที่เราจะทำตลาดได้ดี ส่วนราคาขายในประเทศยังไม่ถึงขั้นที่จะปรับขึ้นอีก แต่ถ้ามีอีก step หนึ่งก็ต้องดูหากได้รับผลกระทบค่อนข้างแรง
"จริงๆ ความต้องการยังมีอีกมากอย่างที่สหรัฐจะลดการเพาะปลูกข้าวลงเพื่อเปลี่ยนแปลงไปปลูกอื่น ถ้าปลูกพืชพลังงานทดแทน ข้าวโพด ใช้เลี้ยงสัตว์ได้ ทำเอทานอลได้ และในพื้นที่อย่างในเท็กซัสอาจจะมีการเปลี่นแปลงไปลดพื้นที่ปลูกข้าวไปเยอะ"
*ไม่รีบร้อนขายหุ้นเพิ่มทุนให้ PP ขอรอการเมืองนิ่งก่อน
นายสมฤกษ์ กล่าวว่า การขายหุ้นเพิ่มทุน PP จำนวน 27 ล้านหุ้นตอนนี้โรดโชว์ชี้แจงกับหลายกองทุนทั้งในและต่างประเทศได้รับการตอบรับที่ดีมาก กองทุนให้ความสนใจเพราะเป็นหุ้นที่มีอนาคตดีและอยู่ในอุตสาหหกรรมที่เติบโตดี ส่วนจะสรุปได้เมื่อไรต้องหารือกับ FA ก่อนทั้งในเรื่องของจังหวะและราคาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้เห็นภาวะการเมืองยังไม่นิ่ง บริษัทจึงขอรอสถานการณ์ทุกอย่างให้นิ่งก่อน เพราะยังมีเวลาที่สามารถรอได้
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--