ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 658.23 จุด เพิ่มขึ้น 12.43 จุด(+1.92%) มูลค่าการซื้อขาย 4,795.46 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยยืนแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 658.92 จุด และแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าที่ระดับ 653.00 จุด
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวสูงขึ้น ในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศที่พุ่งรับข่าวทันที จากเรื่องที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯได้เข้าไปช่วยเหลือแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับความปั่นป่วนที่อาจจะเกิดขึ้นในตลาดการเงินได้ลดลง และภาวะตกต่ำของตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยก็ได้รับความช่วยเหลือ
นอกจากนี้ ยังรับผลจากประเด็นทางการเมือง ที่สถานการณ์ไม่ได้เกิดเหตุความรุนแรงขึ้น ประกอบกับมีข่าวว่ารัฐบาลจะมีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินในช่วงกลางสัปดาห์นี้ ทำให้ความกังวลลดลง และหลายฝ่ายได้มีการแต่งตั้งให้ประธานวุฒิฯไปเจรจา แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่คิดว่าสัปดาห์นี้ก็คงจะมีความพยายามมากขึ้น คงเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองลดความตึงเครียดลง และหลายฝ่ายต่างก็อยากจะหาทางออก
"เรามองว่าคืนนี้ตลาดดาวโจนส์เปิดเทรดก็คงจะตอบรับเช่นกัน เพราะกระแสข่าวตรงนี้หลังจากที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิดไปเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา(5 ก.ย.)คือข่าวออกมาเมื่อวันเสาร์(6 ก.ย.) ก็ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯคืนนี้เปิดทำการออกมาน่าจะเป็นบวกด้วย ก็เลยส่งแรงหนุนหุ้นในกลุ่มการเงินทั่วโลกวันนี้พุ่งขึ้นเป็นแถวเลย หุ้นในกลุ่มธนาคารในตลาดบ้านเราวันนี้ก็ปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดัชนีฯวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น"
แต่อย่างไรก็ตาม มองว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นแค่จิตวิทยาช่วงสั้น ถ้าตราบใดปัญหาภายในบ้านเรายังไม่ได้รับการแก้ไข หรือหาทางออกที่ชัดเจน โอกาสที่ตลาดฯจะมีความผันผวนหรือแรงกระทบจากปัจจัยภายในยังมีอยู่ โดยมองว่าช่วงบ่ายหากตลาดฯขึ้นมาแถวบริเวณ 660 จุดก็ควรจะระมัดระวังแรงขายที่จะเกิดขึ้น ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 640 จุด
เหตุผลที่ตลาดฯวันนี้ขึ้นมาแรง แต่วอลุ่มค่อนข้างแผ่ว เพราะว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วตลาดบ้านเราลงไป 40 จุด การขึ้นมา 11-12 จุดถือว่ายังไม่มากนัก โดยมองว่าคืนนี้ถ้าดาวโจนส์บวกต่อ โอกาสที่ตลาดบ้านเราจะขึ้นไปเหนือ 660 จุดก็เป็นไปได้ แต่การขึ้นมาของตลาดบ้านเราไม่ได้เกิดจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงภายใน แต่เป็นปัจจัยที่ได้รับอานิสงค์จากปัจจัยภายนอกมากกว่า
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
PTT มูลค่าการซื้อขาย 596.98 ล้านบาท ปิดที่ 246.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 424.02 ล้านบาท ปิดที่ 136.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 319.97 ล้านบาท ปิดที่ 115.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 290.41 ล้านบาท ปิดที่ 75.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 283.61 ล้านบาท ปิดที่ 69.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--