KCE มั่นใจกำไรสุทธิ H2 สูงกว่า H1 ที่มี 9.3 ลบ.ได้บาทอ่อน-ไฮซีซั่นหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 9, 2008 10:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์(KCE)คาดว่า กำไรสุทธิในครึ่งปีหลังจะดีขึ้นกว่าครึ่งแรกของปีที่มีกำไรเพียง 9.30 ล้านบาทจากผลการบันทึกขาดทุนในช่วงไตรมาส 2/51 ตามการบันทึกบัญชีทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน โดยในช่วงครึ่งหลังของปีมีปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทอ่อนและเข้าสู่ไฮซีซั่นของธุรกิจ น่าจะทำให้ไตรมาส 3/51 พลิกสถานการณ์กลับมามีกำไรได้ และทั้งปียังน่าจะมียอดขายเติบโตตามเป้าหมาย 20%  
นายปัญจะ เสนาดิสัย กรรมการ KCE กล่าวว่า แนวโน้มรายได้และกำไรในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น แม้ว่าในไตรมาส 3/51 อาจจะมีกำลังการผลิตลดลงไปบ้างจากเหตุเกิดไฟไหม้หม้อแปลงที่โรงงานเคซีอี เทคโนโลยี(จ.อยุธยา)ทำให้บางสายงานหยุดการผลิตชั่วคราว แต่ก็เพียงระยะสั้น และภาพรวมยังน่าจะผลิตได้ตามเป้าหมาย ประกอบกับปัจจัยหลักที่ส่งผลดีต่อการขายคือบาทอ่อน
นอกจากนี้ ราคาวัตถุดิบเริ่มปรับตัวลดลง โดยเฉพาะวัตถุดิบสำคัญ คือ ลามิเนต กับ ทองแดง ที่ราคาปรับลงตามราคาน้ำมัน ก็ยิ่งช่วยทำให้บริษัททำกำไรได้มากขึ้น
"ไตรมาส 3 บาทอ่อนจะช่วย turnaround ได้บ้าง แม้ว่าการผลิตในเดือน ก.ค.จะชะงัก จากการผลิตหายไปไปนิดหนึ่ง แต่เดือน ส.ค.น่าจะดีขึ้น ครึ่งปีหลังและทั้งปีคิดว่าจะต้องมีกำไรอยู่แล้ว ครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยในไตรมาส 4 จะเป็นช่วงไฮซีซั่น...ในเรื่องยอดขายบริษัทไม่ได้มีปัญหาอยู่แล้ว คาดว่ายอดขายทั้งปีที่วางเป้าหมายน่าจะได้ตามเป้า และกำไรสุทธิปีนี้ควรจะต้องมี"นายปัญจะ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ KCE ตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 20% มาเป็น 290 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 242 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 50
ขณะที่ไตรมาส 2/51 ขาดทุน 101.3 ล้านบาท และมียอดขาย 2,021 ล้านบาท (ที่อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 31.70 บาท/ดอลลาร์) และในช่วง 6 เดือนแรก มียอดขาย 4,328.77 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 9.30 ล้านบาท
นายปัญจะ กล่าวยอมรับว่า ยังไม่แน่ใจว่าในปีนี้จะสามารถทำกำไรได้สูงกว่าปีก่อนที่มีกำไร 257.43 ล้านบาทหรือไม่ เนื่องจากมีปัจจัยเรื่องค่าเงินบาทเป็นตัวแปรสำคัญ แม้ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนตัวในช่วงนี้ในระหว่าง 33.50-34 บาท/ดอลลาร์ แต่บริษัทก็เกรงว่าเงินบาทจะแกว่งตัว จึงได้ทำประกันความเสี่ยงในระยะสั้นๆ
สำหรับช่วงไตรมาส 2/51 ที่บริษัทบันทึกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 110 ล้านบาท ก็ยอมรับว่าเป็นเพราะบริษัทได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงมากเกินไป และช่วงปลายไตรมาส 2/51 ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากว่าระดับที่ทำสัญญาล่วงหน้าไว้ ซึ่งขณะนี้ก็พยายามปรับรูปแบบการทำประกันความเสี่ยงให้มีความคล่องตัวมากขึ้น
"เรื่อง sensitive ของเราอยู่ที่ ค่าเงิน คือถ้าเงินบาทอยู่ที่ 34 บาท/ดอลลาร์ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าลงไป 32 บาท/ดอลลาร์ละ ผมว่าเราค่อนข้าง safe เราพยายาม hedge ระยะสั้นๆ เพราะเราไม่รู้ว่าค่าเงินบาทจะเป็นอย่างไร กลัวว่าค่าเงินบาทจะขึ้นๆลงๆ...ถ้าเงินบาทเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผมก็สบาย happy เลยแต่ผมก็ยังกลัวเงินบาทจะแกว่ง ถ้าอย่างนั้นเราก็ เฮดจ์ก่อนไม่ดีหรือ " นายปัจจะ กล่าว
ขณะที่บทวิเคราะห์ของ บล.ทรีนิตี้ ที่ออกมาเมื่อ 19 ส.ค.ยังประมาณการกำไรสุทธิ KCE ปี 51 และ 52 ที่ 271 และ 291 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ในปีนี้อาจมีความเหวี่ยงจากผลการบันทึกบัญชีและตราสารอนุพันธ์ที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเหล่านี้มีระยะเวลาประมาณ 6 เดือนทำให้ในช่วงที่ค่าเงินผันผวนมากผลของตราสารอาจไม่เป็นไปดังที่บริษัทฯตั้งใจ
เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานและความต้องการสินค้าแผ่นวงจรพิมพ์ที่ซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีสูงที่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของ KCE อย่างไรก็ตามเราลดระดับ PE เหมาะสมเหลือ 6 เท่า (จาก 9 เท่า) เพื่อสะท้อนความเสี่ยงจากนโยบายประกันความเสี่ยงที่ยังไม่เห็นผลชัด และประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 3.50 บาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ