ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทรุดลงเกือบ 300 จุดเมื่อคืนนี้ (9 ก.ย.) หลังจากที่เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้งส์ อิงค์ ซึ่งทำลายความเชื่อมั่นในภาคการเงิน
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับตัวลง 280.01 จุด หรือ 2.43% แตะที่ 11,230.73 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 43.28 จุด หรือ 3.41% แตะที่ 1,224.51 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 59.95 จุด หรือ 2.64% แตะที่ 2,209.81 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 7.19 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 9 ต่อ 1
การร่วงลงของวอลล์สตรีทในวันนี้เป็นการสกัดกั้นช่วงขาขึ้นไม่ให้เดินหน้าต่อเนื่อง หลังจากที่เมื่อวันจันทร์ดัชนีพุ่งขึ้นแข็งแกร่งทั่วทั้งกระดาน โดยดาวโจนส์กระโดดขึ้น 2.6%, S&P 500 บวก 2.1% และ Nasdaq ขยับขึ้น 0.62% อันมีสาเหตุมาจากการที่นักลงทุนคาดหวังว่าตลาดการเงินและตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นหลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเทคโอเวอร์กิจการแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ซึ่งเป็นสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ
แต่ความกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของเลห์แมนได้เข้ามาบดบังความหวังอันสดใสของนักลงทุน และส่งให้หุ้นของวาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐรายนี้ดิ่งลงเกือบ 50% ทั้งนี้ ตลาดกังวลว่าธนาคารกำลังมีปัญหาในการหาแหล่งเงินทุนใหม่ๆ ขณะที่ความเคลื่อนไหวของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเกาหลี (เคดีบี) ที่จะเข้ามาซื้อกิจการยังไม่มีความคืบหน้า
บริษัทการเงินหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงเลห์แมน ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากหนี้จำนอง ด้วยการมองหาแหล่งทุนภายนอกที่จะสามารถช่วยพยุงงบดุลของบริษัทได้
"เรากลับมาสู่พื้นฐานอีกครั้ง" เดนิส อมาโต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Ancora Advisors ในคลีฟแลนด์ กล่าว พร้อมกับระบุถึงความเคลื่อนไหวของรัฐบาลที่เข้าช่วยแฟนนี เม และเฟรดดี แมคว่า "การใช้กลยุทธ์ทางการเงินเหล่านี้ไม่ช่วยให้เกิดความสำเร็จในอนาคต เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางการเงินแค่เพียงบางอย่างไม่ได้หมายความวว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นทันตาเห็น
นอกจากนี้ การร่วงลงเกินขาดของยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ก็เป็นปัจจัยลบต่อบรรยากาศการซื้อขายเมื่อคืนนี้เช่นกัน โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเปิดเผยดัชนียอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขายในเดือนก.ค.ว่า ร่วงลง 3.2% แตะ 86.5 จากระดับ 89.4 ในเดือนมิ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่าน่าจะอยู่ที่ 88.6 และต่ำกว่าระดับในปีก่อนถึง 6.8%
ความกังวลเกี่ยวกับเลห์แมนได้ถ่วงการซื้อขายในภาคการเงินทั้งหมด โดยหุ้นของเลห์แมนดิ่ง 6.36 ดอลลาร์ หรือ 45% ปิดที่ 7.79 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การล่มสลายของเฮดจ์ฟันด์ Long-Term Capital Management เมื่อปี 2541
นักลงทุนกังวลว่า เลห์แมนจะมีชะตากรรมเดียวกับ แบร์สเติร์นส ที่ล้มละลายและถูกเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ซื้อกิจการไปเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้
ในบรรดาหุ้นกลุ่มการเงิน ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ ร่วง 7.1% ขณะที่มอร์แกน สแตนลีย์ ลบ 6.6%, เมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค ทรุดลง 10.3%
หุ้นเอไอจีดิ่งลง 19.3% หลังจากที่ร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ในการซื้อขายช่วงเปิดตลาด
นอกจากนี้ หุ้นบริษัทน้ำมันก็ปรับตัวลงด้วยเช่นกัน หลังจากราคาน้ำมันปิดขยับลงแตะระดับต่ำกว่า 104 ดอลลาร์/บาร์เรล เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน โดยมีสาเหตุมาจากทิศทางของเฮอริเคน "ไอค์" ที่ไม่มุ่งหน้าสู่แท่นน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกตามที่หวั่นเกรงกันก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการที่ประธานกลุ่มโอเปคออกมาส่งสัญญาณว่าทางกลุ่มจะไม่ลดเพดานการผลิตในการประชุมวันนี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--