บมจ.ช.การช่าง(CK)คาดว่าครึ่งหลังปี 51 บริษัทจะรับรู้รายได้ประมาณ 4-5 พันล้านบาท ต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่รับรู้รายได้แล้ว 6 พันล้านบาท ทำให้ทั้งปีจะมียอดรับรู้รายได้ราว 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท รวมเงินปันผลจากบริษัทย่อย ได้แก่ บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) และ บมจ.น้ำประปาไทย (TTW)
สำหรับอัตรากำไรขั้นต้น คาดว่าทั้งปี 51 จะอยู่ในช่วง 8-12% จากปีก่อนอยู่ระดับ 10% เพราะบางส่วนบริษัทได้ล็อคราคาเหล็กในช่วงที่มีราคาสูง
นายวรพจน์ อุชุไพบูลย์วงศ์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารงานโครงการ CK กล่าวว่า งานในมือ(Backlog)ขณะนี้มีอยู่ 1.9 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงานโครงการน้ำงึม 2 จำนวน 9.3 พันล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จาก backlog ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ที่เหลืออีก 9 พันล้านบาทจะรับรู้ฯ ในปี 52
ในไตรมาส 3/51 บริษัทรอเซ็นสัญญางานใหม่ 3 งาน มูลค่ารวมประมาณ 7 พันล้านบาท ได้แก่ งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มูลค่าราว 4.8 พันล้านบาท งานส่วนต่อขยายโรงผลิตน้ำประปาของ TTW และ โครงการสร้างอุโมงค์ทางลอดของ กทม.ทั้งนี้ไม่รวมงานประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วง
ครึ่งปีแรกบริษัทได้งานใหม่เพียง 2.5 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทเลือกงานที่มีมาร์จิ้นดี และช่วงดังกล่าวราควัสดุปรับขึ้นไปมากจึงไม่รับงานใหม่มาก อย่างไรก็ตาม ทั้งปี 51 คาดว่าบริษัทจะมีงานใหม่เพิ่มไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท
สำหรับครึ่งปีหลังบริษัทได้เข้าประมูลงาน 4.6 หมื่นล้านบาท เป็นงานรถไฟฟ้าสายสีม่วง มูลค่าโครงการทั้งหมด 3.6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยงานต่างประเทศที่กำลังศึกษาเป็นงานในอินเดีย เวียดนาม ลาว และ กัมพูชา ทั้งนี้ยังคงคาดว่าโครงการน้ำบาก 1-2 จะศึกษาเสร็จปลายปีนี้
นอกจากนี้ โครงการ SPP บริษัทจะเข้าร่วมทุนกับนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินในสัดส่วน 40% ของมูลค่าโครงการ 5 พันล้านบาท โดยมีกำลังการผลิต 124 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าโคเจนเนเรชั่นจะขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) จำนวน 90 เมกะวัตต์ ที่เหลือขายให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และยังมีผลผลิตไอน้ำขายให้กับลูกค้าในนิคมฯ ด้วย ขณะนี้บริษัทรอเซ็นสัญญาเป็นทางการ
ขณะที่การออกหุ้นกู้ 1 พันล้านบาทที่แผนเดิมคาดจะออกในเดือนส.ค.-ก.ย.นั้น นายวรพจน์ กล่าวว่า คงยังไม่ชัดเจนว่าจะออกได้ช่วงนี้หรือไม่ เพราะรอดูสถานการณ์การเมืองและภาวะตลาดก่อน โดยเงินทุนส่วนนี้จะใช้ในการดำเนินโครงการน้ำงึม 2
*บันทึกกำไรพิเศษราว 400 ลบ.ใน Q3 นี้
นายวรพจน์ กล่าวว ในไตรมาส 3 ปี 51 บริษัทจะบันทึกกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้กิจการร่วมค้า BBCD (CK ถือ 35%) จำนวนประมาณ 400 ล้านบาท จากเดิมที่บริษัทเคยตั้งสำรองขาดทุนไว้ก่อนหน้า เนื่องจาก บิลฟิงเกอร์ เบอร์เกอร์ เอจี ผู่ร่วมทุน ได้ยกหนี้จำนวน 70 ล้านยูโร ทำให้บริษัทรับผิดชอบหนี้ของกิจการร่วมค้า BBCD ลดลง และจะทำให้ CK จะไม่มีหนี้ต่างประเทศเป็นภาระอีกต่อไป
ส่วนการดำเนินคดีกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) ทางกิจการร่วมค้า BBCD ได้ฟ้องศาลแพ่งรอบใหม่แล้ว คาดว่าผลน่าจะได้เป็นไปในทางบวก และหากชนะคดีก็มีนำสำรองที่ขาดทุนจากคดัดังกล่าวกลับมาเป็นกำไรได้ในอนาคต
เมื่อวันที่ 11 ก.พ.51 บริษัท ในฐานะหุ้นส่วนของกิจการร่วมค้า บีบีซีดี ได้ดำเนินการยื่นฟ้อง กทพ. ต่อศาลแพ่ง ในข้อหาหรือฐานความผิด ลาภมิควรได้ รวมเป็นเงินค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นรวมดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องเป็นจำนวนทุนทรัพย์ 9,683 ล้านนาท
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--